“…เงินช่วยเหลือ Zipmex จำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการฟื้นฟูกิจการ หรือกองทุน V Venture นั้น ต้องการเสนอให้ Zipmex จ่ายเจ้าหนี้เพียง 10-20% ของจํานวนเงินที่พวกเขาเป็นหนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น zipmex ให้คํามั่นว่าจะชําระคืนเต็มจํานวนตามจดหมาย จาก Zipmex ถึงศาลสิงคโปร์ที่ดูแลการปรับโครงสร้าง ซึ่งสะท้อนเป็นนัยว่า เหยื่ออาจต้องยอมรับชะตากรรมได้รับการชดใช้หนี้เพียง 10-20% ต้องการให้เจ้าหนี้ตัดเงิน 90% หรือยอมขาดทุนกันแบบสิ้นเนื้อประดาตัวกันไปเลย ถามว่าเวลานี้ ก.ล.ต. ปล่อยเกียร์ว่างให้เรื่องบานปลาย เจ๊งระนาวมาเนิ่นนานได้อย่างไร ฝ่ายเชียร์เลขาฯ ที่กำลังหมดอายุ ต่างพูดให้ท้ายว่า ก็มันเลยอำนาจหน้าที่ ก.ล.ต.แต่แท้จริงสามารถใช้มาตรการทางอ้อมอื่นๆ เพื่ออำนวยความปลอดภัยของนักลงทุนหน้าใหม่ แถมยังเป็นการทวงความเป็นธรรมให้ผู้เสียหายได้…”
“กลุ่มผู้เสียหาย Zipmex” รวมตัวในกลุ่ม Line ได้หยิบยกประเด็นที่เงินเยียวยา อาจได้รับคืนเพียง 10- 20% โดยร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ถึงชะตากรรมอันน่าอนาถใจ ขณะเส้นตายคุ้มครองเจ้าหนี้หมดวันที่ 23 เม.ย. 2566 ตามอำนาจศาลสิงคโปร์
จาก Bloomberg รายงานเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา รายงานว่านักลงทุนที่จะให้เงินช่วยเหลือ Zipmex จำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการฟื้นฟูกิจการ หรือกองทุน V Venture นั้น ต้องการเสนอให้ Zipmex จ่ายเจ้าหนี้เพียง 10-20% ของจํานวนเงินที่พวกเขาเป็นหนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น zipmex ให้คํามั่นว่าจะชําระคืนเต็มจํานวนตามจดหมาย จาก Zipmex ถึงศาลสิงคโปร์ที่ดูแลการปรับโครงสร้าง
และอีกประเด็น “ผู้เสียหาย Zipmex Thailand” ได้แสดงความคิดเห็น ว่า การกล่าวอ้างว่า สัญญาจองซื้อหุ้น (Share Subscription Agreement หรือ SSA) นั้นได้สิ้นสุดสัญญาลงแล้ว อีกทั้งข้อตกลงภายใน SSA นั้น “ยังไม่มีผลพันธะผูกพัน” ระหว่างกันอีกต่อไป ซึ่งสะท้อนนัยว่า กลุ่มทุน V Ventures เตรียมที่จะ “ขอเงินทุน” ในการดำเนินการ หรือ Working Capital ที่ได้มอบให้กับ Zipmex ก่อนหน้านี้กลับคืนไป ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องในการจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้เสียหายโดยรวมแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งสะท้อนเป็นนัยว่า เหยื่ออาจต้องยอมรับชะตากรรมได้รับการชดใช้หนี้เพียง 10-20%
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทาง Zipmex ได้แจ้งว่า บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจากับกลุ่มทุน V Ventures เพื่อหวังหาทางออกร่วมกันหรืออาจนำไปสู่การดำเนินการในชั้นศาล
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ Zipmex Asia นั้น แสดงถึงความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อกำหนดเปิดให้เข้าถึงบริการ Z Wallet ซึ่งผลที่เกิดขึ้นมาจากการถอนเงินลงทุนของกลุ่มทุน V Ventures โดยทาง Zipmex Asia ให้คำมั่นสัญญาว่าไม่ได้นิ่งนอนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น โดยได้เร่งเจรจากับกลุ่มทุนรายอื่นๆ เร่งหาทางออกให้กับลูกค้า แม้ว่าจะถูกบีบคั้นด้วยกรอบระยะเวลา และความหวังริบหรี่ของกลุ่มทุนใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงเวลานี้
ขณะที่ฟาก Zipmex Asia เผย กำลังเจรจากับนักลงทุน หวังเพื่อ “เพิ่มผลประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้า” หลังจากชำระเงินล่าช้า โดยบริษัทกล่าวว่า หน่วยงานในเอเชียได้ยื่นคำร้องต่อศาลสิงคโปร์เพื่อขยายระยะเวลาเลื่อนการชำระหนี้ออกไปอีกสองเดือน ตามการแลกเปลี่ยนจะใช้เวลาเพิ่มเติมในการวางแผนและเปิดการถอน Z Wallet อีกครั้ง
ฟากของ V Ventures ซึ่งเป็นกลุ่มทุนในมุ้งของ “มหากิจศิริ” และเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของ Zipmex นอกจากเสนอให้คืนเงินเพียง 10-20% ของเงินทุนของเจ้าหนี้ ตามมาตรการคุ้มครองเจ้าหนี้ของ Zipmex ที่กำหนดเส้นตายสิ้นสุดลงในวันที่ 23 เมษายนนี้ และถ้าไม่ได้รับข้อตกลงใหม่ตามข้อเสนอดังกล่าว เงินที่ค้างท่อของ V Ventures อาจจะตัดการอัดฉีดสภาพคล่องในทันที
จากการรายงานของสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า V Ventures ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้าลงทุนใน Zipmex แต่ไม่ปรากฏในรายชื่อในฐานะกลุ่มทุน หรือสงวนข้อมูลการระบุตัวตนของ Zipmex ต้องการให้เจ้าหนี้ตัดเงินเหยื่อ 90% หรือยอมขาดทุนกันแบบสิ้นเนื้อประดาตัวไปเลย
เพื่อยอมให้ zipmex รอด ส่วน V Ventures ก็ได้ความเป็นหุ้นส่วนที่ไม่ต้องแบกหนี้มากนัก โดยขณะนี้พวกเขาอ้างว่าเงื่อนไขข้อกำหนดบางประการของข้อตกลงและข้อกำหนดเดิม ดังนั้นทางกลุ่มทุนใหม่จึงเตรียมที่จะปรับปรุงเงื่อนไขข้อสัญญาตามความต้องการสำหรับข้อตกลงใหม่
เรียกว่างานนี้ จะเป็นการออกแบบแผนบริหารหนี้ภายใต้กฎหมาย ข้อตกลงข้อไหนก็เข้าทาง zipmex และ V Ventures ทั้งสิ้น แต่คนซวยที่แท้จริงคือ ผู้เสียหายหรือเจ้าหนี้คนไทยรวมอยู่ด้วย ซึ่งต้องยอมขาดทุน 90%
ย้อนไปก่อนหน้านั้นดีลระหว่าง 2 ยักษ์ ได้เริ่มผุดขึ้น ในช่วงเดือน ธ.ค. 2565 มีข่าวว่า Zipmex จะได้เงินช่วยเหลือจากนักลงทุน กลุ่ม V Venture ราว 3,000 ล้านบาท จึงคาดการณ์ว่าจะมีการจ่ายเงินคืนเจ้าหนี้เต็มจำนวน
แต่แผนโหดของมือมืด ทำให้ในปลายเดือน มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา กองทุนที่จะช่วยเหลือ Zipmex ผิดนัดชำระเงินช่วยเหลือ มูลค่า 1.25 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีการลือสะพัดว่าแผนฟื้นฟูกิจการอาจจะล่ม และ Zipmex จะเข้าสู่การล้มละลาย จนกลายมาเป็นข่าวตัดหนี้ 90% ปล่อยนักลงทุนไทยที่เสียหาย ตายนิ่งสนิททันที
เส้นตายของ Zipmex ที่ยื่นคุ้มครองเจ้าหนี้ต่อศาลสิงคโปร์ คือ วันที่ 23 เม.ย. 2566 ที่จะถึงนี้ แต่อาจมีการขยายเวลาได้ราว 3 สัปดาห์ เพื่อให้ Zipmex มีเวลาหาเงินมาชำระหนี้ได้ตามนัด
หากการเริ่มต้นข้อตกลงใหม่เกิดขึ้น กลุ่มทุนที่ทุ่มเงินกับ zipmex ก็อาจพร้อมทุ่มเงินต่อ โดยสมคบกับ zipmex แกล้งบีบน้ำตา ว่าเราไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยความเสียหายได้เต็มจำนวน จึงยอม “เสียสัตย์เพื่อชาติ” จ่ายได้เพียง 10-20 % ปล่อยนักลงทุนช้ำอีกรอบ หลังจากถูกโรคเลื่อนมาข้ามปี
ถามว่าเวลานี้ ก.ล.ต. ปล่อยเกียร์ว่างให้เรื่องบานปลาย เจ๊งระนาวมาเนิ่นนานได้อย่างไร ฝ่ายเชียร์เลขาฯ ที่กำลังหมดอายุ ต่างพูดให้ท้ายว่าก็มันเลยอำนาจหน้าที่ ก.ล.ต. แต่แท้จริงสามารถใช้มาตรการทางอ้อมอื่นๆ เพื่ออำนวยความปลอดภัยของนักลงทุนหน้าใหม่ แถมยังเป็นการทวงความเป็นธรรมให้ผู้เสียหายได้ อย่างเช่น การใช้ delish เหรียญ ZMT เนื่องจากมีข้อครหาคุณสมบัติเหรียญ เหมือนที่ หน่วยงานกำกับของอินโดนีเซียทำไปแล้ว พร้อมบีบให้ zipmex จ่ายเงินบางส่วนกับผู้เสียหายชาวอินโดฯ ก่อน… เละเทะจนเทียบผลงานไม่ติดภายใต้ร่มเงาการบริหารงานของ หญิงสาวผู้ยิ่งใหญ่…
มาตรการที่ ก.ล.ต. ใช้จัดการกับ ZIPMEX ที่สร้างความเสียหายตลอดปีเพราะความประมาท ช่างเทียบไม่ได้เลยกับการเฝ้าระวัง จัดการเอกชนรายอื่น เช่น กรณีเหรียญ KUB ซึ่งไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้นักลงทุน แต่กับถูกเชือดแล้วเชือดอีก จนเลือดหมดตัว
5 พ.ค. 2565 ก.ล.ต. ได้สั่งปรับคณะกรรมการคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลของ บิทคับ จำนวน 6 ราย ที่ได้พิจารณาคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB เข้าเทรดในกระดานที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข (Listing Rule ) ของ ก.ล.ต. และไม่ได้คำนึงถึงมาตรการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยครั้งนั้น ก.ล.ต. ได้สั่งปรับเป็นเงินรวม 15.2 ล้านบาท
ทว่า บิทคับออกหนังสือชี้แจงในวันถัดมา โดยยืนยันว่า “เหรียญ KUB ยังคงมีคุณสมบัติเพียงพอและเป็นไปตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ตามที่ได้เคยพิจารณาคัดเลือกไว้”
และยังสั่งปรับผู้บริหาร 8.5 ล้านบาทพร้อมขึ้นบัญชีดำ 12 เดือน ปมรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน
ต่อมา 30 ส.ค. 2565 ก.ล.ต. ได้รับการร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณีมีเหตุสงสัยว่ามีบุคคลซื้อขายเหรียญ KUB โดยรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน (inside trader) เกี่ยวกับเหตุการณ์กลุ่มธนาคาร SCB และบริษัท BCGH ได้เริ่มเจรจาการซื้อขายหุ้นของบิทคับตั้งแต่ช่วงเดือน ส.ค. 2564
บุคคลดังกล่าวคือ นายสำเร็จ วจนะเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด มีพฤติกรรมการซื้อเหรียญ KUB จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง เป็นจำนวน 61,107.66 เหรียญ มูลค่า 1,994,966.56 บาท ระหว่าง วันที่ 4 ก.ย. – 2 พ.ย. 2564
ก.ล.ต. มองว่า พฤติกรรมการซื้อเหรียญดังกล่าวต่างจากข้อมูลที่ ก.ล.ต. เคยได้รับก่อนหน้านั้น และถือว่าการกระทำของเขาเป็นความผิดฐานซื้อเหรียญ KUB โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามมาตรา 42(1) ประกอบมาตรา 43(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 70 และมาตรา 72 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
การปัดกวาดบ้านของ ก.ล.ต. ตลอดปี 2565 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ จึงเต็มไปด้วยข้อครหา ความไม่น่าไว้วางใจในหมู่คนวงการคริปโตเคอร์เรนซี่ ชี้หน้าถามว่า เลือกปฏิบัติหรือไม่ จนภาพเด่นชัดมากขึ้นว่า ประชาชนผู้เสียหายจำนวนมาก วงเงิน 2,000 ล้านที่สร้างความเสียหายแก่นักลงทุนไทยใน zipmex แต่ ก.ล.ต. มัวทำอะไรอยู่ ส่อคลั่งอำนาจแต่งานการไม่เป็นมรรคผลต่อผู้เสียหายเลย
แม้ข่าวจะบอกว่า… แผนธุรกิจ เกมส์ระหว่าง V Ventures กับ Zipmex จะเดินไปสู่การตัดเงิน ดีดพนักงานลูกจ้างในค่ายออก.. และนำไปสู่ผลลัพธ์คือการตัดยอดหนี้ผู้เสียหายทิ้ง จ่ายไม่เต็มจำนวน จะสะท้อนภาพว่า ผู้ได้ประโยชน์มีเพียง 2 ยักษ์เท่านั้น คือ Zipmex ก็ได้หลุดจากวงจรหนี้สินพะรุงพะรัง ส่วน V Ventures ก็ได้ความเป็นเจ้าของจากการลงทุนที่ไม่ต้องใช้ทรัพย์ไปละลายหนี้ทั้งก้อน
ก.ล.ต. ไทย ส่อว่ายังไม่รู้ร้อนหนาว ราวกับว่าเงินเดือนค่าจ้างไม่ได้มาจากภาษีประชาชน ใช้ได้ที่ไหนกัน..
ยิ่งภาพตอกย้ำผู้บริหาร ZIPMEX ประเทศไทยนั่งสบายใจ กับการเทรดค่าเงินในกระดาน FOREX อยู่กับสมัครพรรคพวกด้วยแล้ว ยิ่งสะเทือนหัวใจและกระเป๋าตังค์เจ้าหนี้คนไทย ต่างอยู่ในอาการขวัญผวา โดนเททิ้งทั้งกระดาน จ่ายเงินคืนแค่ 10-20% แต่ในผลสะท้อนมุมกลับกัน
น่าสงสัยว่า ดีลลับระหว่าง 2 ทุมยักษ์จะเป็นไปอย่างราบรื่น ใช้ยุทธวิธีละครการเมือง+มือกฎหมาย ตีกิน 2 หน้า win-win ส่วนชาวบ้านชิบหาย ช่างมัน
