มื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 เมษายน 2566 ที่ศูนย์รับแจ้งความตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม.นายกฤษฎา อินทามระทนายความ พาพนักงานและอดีตพนักงานกว่า 100 คนไปที่ บก.ปปป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีอาญากับผู้บริหารและอดีตผู้บริหารตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามมาตรา 157 เพิ่มเติม ก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา ได้พาพนักงานมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหารรวม 8 คนไว้แล้วจากกรณีเมื่อปี 60 การท่าเรือได้ส่งผู้บริหารมากล่าวหาผู้บริสุทธิ์ 560 คนว่าทุจริตเบิกค่าล่วงเวลาทำให้การท่าเรือเสียหายกว่า 3,300 ล้านบาทซึ่งไม่เป็นความจริงแต่การ กระทำดังกล่าวอาจทำให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องติดคุก โดยหลังจากแจ้งความแล้วทนายกฤษฎาได้สืบสวนขยายผลจึงพบว่าจะต้องดำเนินคดีเอาผิดกับกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกประมาณ 130 คนเพื่อให้ได้รับโทษทางอาญาให้ถึงที่สุดต่อไป
ทนายกฤษฎา กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อปี 57 ผู้บริหารการท่าเรือได้เข้าร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเรื่องการฟ้อง คดีค่าล่วงเวลาของขบวนการค้าความทำให้รัฐเสียหายหลายพันล้านบาทขอให้ ดีเอสไอ เข้าไปตรวจสอบการ ทุจริต ต่อมาต้นปี 57 ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษหลังจากนั้นสรุปสำนวนส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา แต่ ป.ป.ช.ส่งสำนวนกลับไปให้ ดีเอสไอดำเนินคดี
ต่อมาเดือนมิถุนายน 2560 ดีเอสไอ แจ้งให้การท่าเรือแห่ง ประเทศไทยเข้ามาเป็นผู้กล่าวหา การท่าเรือจึงแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานและอดีตพนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 560 คนทุจริตบิกค่าล่วงเวลาเสียหายประมาณ 3,300 ล้านบาท ดีเอสไอใช้เวลาสรุปสำนวน ประมาณ 6 ปีจึงมีคำสั่งฟ้องผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพียง 34 คนเท่านั้นจาก 560 คนและมีมูลค่ความเสียหายไม่เกิน 3 ล้านบาทและได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 34 คนส่งให้พนักงานอัยการคดีพิเศษแล้วเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2566 ดังนั้นคดีพิเศษนี้จึงเป็นที่ยุติแล้วว่าพนักงานกว่า 500 คนเป็นผู้บริสุทธิ์แต่กลับถูกผู้บริหารการท่าเรือแจ้งความดำเนินคคีอาญาร้ายแรง เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2586 มีพนักงาน 66 คนที่ถูกกระทำและอาจติดคุกในคดีพิเศษได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหารและอดีตผู้บริหารการท่าเรือ รวม 8 คน ข้อหามาตรา 157ที่ บก.ปปป.แล้ว แต่จากการสืบสวนขยายผลของทนายกฤษฎา อินทามระ พบว่ามีผู้กระทำความผิดเพิ่มเติมอีกจำนวนมากโดยมีหลักฐานว่า ผู้บริหารสั่งการให้กองกฎหมายมีหนังสือลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ถึงดีเอสไอ ขอให้ดำเนินคดีกับพนักงานอีกจำนวน 1.019 ราย ในวันนี้จึงต้องมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้นประมาณ 130 คน มีอดีต ผู้บริหารระดับสูง 2 คนคือ เรือตรีทรงธรรม จันทประสิทธิ์ และ เรือโทกดิ์ พรหมประยูร ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย พฤติการณ์การกระทำความผิดคือ ประมาณปี 57 เรือตรีทรงธรรม ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จึงไม่ดำเนินคดีอาญากับนายชัยวัฒน์ ทองสุทธิ์ ที่มีหลักฐานเดินทางออกนอกประเทศเมื่อกลับมาก็ขอเบิกค่าล่วงเวลาไปโดยทุจริต
แต่เรือตรีทรงธรรมลงโทษเพียงแค่ไล่ออกเท่านั้นส่วนเรือโทกมลศักดิ์ พรหมประยูร ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทยพฤติการณ์แห่งการประทำความผิดคือ ประมาณปี 62 เรือโทกมลศักดิ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จึงไม่ดำเนินคดีอาญากับพนักงานรวม 7 คน ที่มีหลักฐานเดินทางออกนอกประเทศเมื่อกลับมาก็ขอเบิกค่าล่วงเวลาไปโดยทุจริต แต่เรือโทกมลศักดิ์ก็ลงโทษพนักงานทั้ง 7 คนเพียงแค่ไล่ออกเช่นกัน
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนสอบปากคำพนักงานการท่าเรือฯ ผู้แจ้งความเพิ่มเติมเพื่อนำรวมกับสำนวนเดิน ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป