กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สืบเนื่องจากผู้เสียหายถูกคนร้ายโทรมาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ แจ้งว่ามีการเอาข้อมูลผู้เสียหายไปเปิดใช้บัตรเครดิตและค้างชำระ ให้ผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์โดยให้โอนสายไปยังคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายแอดไลน์ชื่อ “สถานีตำรวจภูธรเมืองบุรีรัมย์” และได้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อมาคนร้ายได้โอนสายให้ผู้เสียหายพูดคุยกับผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเหตุการณ์ที่สนทนากันเป็นเรื่องจริง ซึ่งคนร้ายได้หว่านล้อมข่มขู่ผู้เสียหายให้เกิดความกลัวว่าจะต้องถูกดำเนินคดี โดยผู้เสียหายต้องโอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ จากพฤติกรรมของคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว จึงทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีของกลุ่มคนร้ายหลายครั้ง ผู้เสียหายเห็นว่าผิดปกติ เชื่อว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวง จึงแจ้งความดำเนินคดี จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบรับแจ้งความออนไลน์ เรื่องขบวนการคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ พบความเชื่อมโยง 11 Case ID เสียหายรวมกว่า 1,876,000 บาท
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบสวนว่า น.ส.ปราถนา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี พักอาศัยในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จนกระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน 2566 เวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้รับแจ้งจากสายลับ พบหญิงที่มีรูปพรรณสัณฐานตรงกับ น.ส.ปราถนาฯ จึงเดินทางไปตรวจสอบ และเข้าจับกุม ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่ น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”
เบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จัดทำบันทึก
การจับกุม และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไป
ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 , พ.ต.อ.ศุภกร ธัญญกรรม ผกก.1 บก.สอท.5, ได้สั่งการ พ.ต.ท.ปริพล นาคลำภา สว.กก.1 บก.สอท.5 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม