คำคมของ “โสเครตีส” เป็นหนึ่งใน“กุญแจแห่งความรู้”ด้านปรัชญา ให้ “ชาวโลก” ศึกษามิรู้จบ.. โดย “โสเครตีส” ได้เปิดฉากอย่างตรงๆว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ที่ไหลจากภาชนะที่เต็มไปยังสิ่งที่ยังว่างอยู่” อืม.. “โสเครตีส” เชื่อมั่นเสมอว่า “ความรู้ต่างๆ” ของท่าน กับเหล่า “นักปรัชญาที่ดี” ล้วนเป็น “อาหารสมองชั้นเลิศ” เพราะ “ความรู้แท้จริง” คือ “อาวุธทรงพลังที่สุด” นั่นเอง..! สำหรับ “ผู้สร้างสรรค์บทกวี” ปราชญ์ “โสเครตีส” ได้เผยใจชื่นชมไว้ดังนี้ “กวีไม่ได้สร้างบทกวีด้วยปัญญา แต่ผ่านการดลใจ ที่สามารถพบได้ในผู้เผยพระวจนะหรือผู้ทำนาย เนื่องจากพวกเขาสามารถพูดสิ่งสวยงามได้มากมาย โดยไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร”
แม้จะเป็นแค่ตัวอย่างในยุค“โสเครตีส” ซึ่งมีทั้ง“กวี-ผู้เผยพระวจนะ-ผู้ทำนาย”ที่ใฝ่รู้ความจริง จนมีวิสัยทัศน์อันน่าทึ่ง! ต่างจาก “นักปรัชญาบางกลุ่ม” กับ “กลุ่มคนบางอาชีพ” ในยุคก่อนและหลัง “โสเครติส” จวบจนยุคปัจจุบัน ที่ด้อยปัญญาจมปลักอยู่กับอำนาจ และโลภในผลประโยชน์ จนไร้ความรู้แท้จริง แถมยังกล้าโกหกหลอกลวงผู้คน ด้วยการ“สร้างภาพทรงปัญญาจำแลง” เพื่อ“ต้มตุ๋นผู้คน”
ปราชญ์“โสเครตีส”ให้นิยามแก่“กวี”ว่า “กวีเป็นเพียงผู้แปลของพระเจ้า”!!.. โอ้ว!! เจ๋งว่ะ!! “มนุษย์” ยุคปัจจุบัน สร้างความเจริญทันสมัยด้วย “ดิจิทอล” ซึ่งหาก “โสเครตีส-เพลโต-อริสโตเติล”ยังมีชีวิตอยู่ จะ “ปวดกบาล”อย่างยิ่ง เพราะเกิดการโกหกพกลมมากมายมหาศาล โดยเฉพาะใน “โลกโซเชียลฯ” เมื่อส่องดูรายละเอียด จะเห็นบรรดา“เด็ก-ผู้ใหญ่-ผู้สูงวัย-ผู้มีอำนาจ” ยืนอยู่กลาง “ทุ่งสตรอเบอรี่” พูดโกหกอย่างหน้าด้านๆเต็มไปหมด ฯลฯ บ่อยครั้งที่ “นายกฯตู่” เป็นคนพูดดีพูดถูก แต่ “ตู่ไม่ทำดี-ไม่ทำถูก”เท่าที่ควร ทั้งๆที่เป็นถึง “หน.ครปห”กับ“นายกฯ” มีอำนาจในกำมือนานถึง 9 ปี “บิ๊กตู่” เคยวิจารณ์ตรงไปตรงมาว่า “โซเชียลฯถ้าไม่อ่านก็โง่.. ถ้าอ่านแล้วเชื่อหมด ยิ่งโง่กว่า” “บิ๊กตู่” ฉลาดเป็นกรด “อ่านรู้-ดูเป็น” ว่า เรื่องอะไร “ดี” เรื่องอะไร“เลว” แต่ทำไมจึง “ไม่ทำดี” ให้ชาติกับประชาชน? ตรงกันข้าม.. “บิ๊กตู่” กลับปล่อยเรื่อง“เลวร้ายท่วมแผ่นดินไทย” เฮ้อ.. แย่จริงๆเลยนะเว้ย“บิ๊กตู่”? “นักการเมืองไทย” ส่วนใหญ่ ไม่ชอบ “การตรวจสอบ” โดยเฉพาะ “เหลี่ยม-ตู่-ธนาธร-พิธา” ตรงกันข้ามกับ “โสเครตีส” ที่กล่าวว่า “ฉันต้องการฝูงชนที่ไม่เห็นด้วยกับฉัน มากกว่าที่จะพบว่า ตัวเองมีความสามัคคีกับตัวเอง”
อืม.. “โสเครตีส” ไม่ชอบ “การเอาใจตัวเอง” เป็นสรณะ แต่ชอบ “การตรวจสอบ” มุ่งจะ“แก้ไข-ปรับปรุง-พัฒนา ”ให้ดีขึ้นเป็นหลัก! ดังนั้น.. เมื่ออดีตนายกฯ “บิ๊กเหลี่ยม”! ว่าที่อดีตนายกฯ“บิ๊กตู่”! นายกฯทิพย์ “ธนาธร” และนายกฯทิพย์ “พิธา” ไม่ยอม “ถูกตรวจสอบ” จึงไม่ได้ “แก้ไข-ปรับปรุง-ปฏิรูปตัวเอง” “พวกเขาเหล่านั้น” จึงต้องประสบความ “ล้มเหลว” อีกทั้งถูก “กรรมติดจรวดตามสนอง” เข้าจังเบอร์ จากการไม่ “ทำความดี” แต่ดันไป “ทำความชั่ว” ไงล่ะ? หนึ่งใน “ความลับ”ของ “โสเครตีส” คือ “ข้าพเจ้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะข้าพเจ้ารู้อยู่สิ่งหนึ่ง นั่นคือ ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าไม่รู้สิ่งใดเลย” แต่ “โสเครตีส” ได้บอกเรื่องสำคัญไว้ว่า “มีเพียงแค่ความเขลาอย่างที่สุด หรือความเฉลียวฉลาดอย่างที่สุดเท่านั้น ที่จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงได้”
จริงว่ะ! การเปลี่ยนแปลงทั้ง “ดี”กับ“เลว” เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น.. “องค์กรใดไม่ปฏิรูป” ให้ดีขึ้นอย่างจริงจัง ด้วย “ผู้คนมีอำนาจ” ที่ฉลาดแต่แกล้งโง่ หรือโง่เง่าเต่าตุ่นจริงๆ จงใจปล่อยให้ “ความเลวร้าย” เพิ่มทวีขึ้นใน“องค์กรที่ตนบริหาร”ทุกวี่ทุกวัน.. “องค์กรนั้น” จะแข็งแรงมั่นคงไม่ได้ มีแต่จะอ่อนแอพังภินท์ลงแน่นอน..จริงไหม? ดังการเลือกตั้งยุค “นายกฯตู่” ทั้ง 2 ครั้ง ที่ “นายกฯตู่” ทำผิดคำพูด ไม่ยอม “ปฏิรูปชาติก่อนเลือกตั้ง” ใดๆเลย “พรรคหนุนตู่” จึงต้องพ่ายแพ้ให้กับ“พรรคเหลี่ยม” กับ “พรรคตี๋ทอน” ทำให้“ชาติ-กษัตริย์-ประชาชน”ต้องเผชิญภัยร้ายแรง เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนไปทั่ว ความไม่สงบในสังคมไทยเวลานี้ คนหนึ่งที่สมควรถูกประณามอย่างยิ่งก็คือ “นายกฯตู่” ฐานไม่ปฏิรูปการเมืองไทยแม้แต่น้อย..?
ทีนี้.. กล่าวถึงเรื่อง “ความดี” ที่ “มนุษย์” พึงยึดมั่นและต้องกระทำ โดย “โสเครตีส” ยืนยันว่า “ความดีไม่ได้เกิดจากความร่ำรวย แต่ความร่ำรวยและสิ่งดีงามอื่นๆ ทั้งหมดที่เรามีนั้น เกิดจากความดี” และ “โสเครตีส” เชื่อว่า “วิธีที่สะดวกที่สุด และแน่ใจที่สุดว่า เราจะอยู่ได้อย่างมีเกียรติ์ในโลกนี้ก็คือ อยู่ตามความเป็นจริงอย่างที่เราเป็นอยู่ ความดีทั้งมวลของมนุษย์จะเพิ่มขึ้น ก็ต่อเมื่อเราได้ฝึกฝนและสัมผัสกับมัน” ใช่เลย! คนรวย..เป็นคนส่วนน้อยในสังคม ซึ่งมีทั้ง “คนดี” กับ “คนไม่ดี” นะเฟ้ย? คนมีรายได้น้อย..เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม ก็มีทั้ง “คนดี” กับ“คนไม่ดี” เช่นกัน! “โสเครตีส”จึงระบุว่า “สิ่งดีงามอื่นๆในสังคม เกิดจากคนทำความดี” สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ในทุกสังคมโลกก็ด้วย “ทุกผู้คนทั้งรวย-จน”ต้องช่วยกันทำอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นสิ่งที่“โสเครตีส”และ“นักปรัชญา”เห็นตรงกันครับ!
“โสเครตีส”มองความบอบบางของชีวิตว่า “ชีวิตมนุษย์เหมือนหยดน้ำค้างบนใบไม้” อีกทั้งรู้ซึ้งถึงความยากไร้ของ“ผู้คน” โดย“โสเครตีส”บอกว่า ต้องใช้ “ซอสที่ดีที่สุดคือความหิว” อีกนัยหนึ่งก็คือ แก้ปัญหา“ความหิวด้วยความหิว”นั่นเอง! ดังนั้น มนุษย์“บางคนกล้า เพราะความพึงพอใจ บางคนกล้า เพราะแรงปรารถนา และบางคนกล้า เพราะความกลัว แต่บางคนขลาดกลัว ในสถานการณ์เดียวกัน” โดย“ปราชญ์กรีกท่านนี้”ใช้วิธี “ข้าพเจ้าไม่อาจสอนสิ่งใดแก่ผู้ใดได้ ข้าพเจ้าทำได้เพียงให้ผู้นั้นคิด” โดย“ข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใด นอกจากโน้มน้าวเจ้าทั้งหลาย ทั้งแก่ชราและหนุ่มแน่น ไม่ให้คิดถึงตนเอง หรือทรัพย์สินของตน แต่ขอให้ใส่ใจปรับปรุงจิตใจอย่างดีที่สุด”ด้วย“โสเครตีส”ยึดหลัก “จงปล่อยให้ผู้ที่กล่าวว่าจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนตัวเองก่อน”
อืม..ถ้าผู้คนไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง แล้วจะเปลี่ยนสิ่งใดได้ล่ะ? “ปราชญ์กรีกผู้นี้” จึงระบุว่า “ความเชื่อมั่นของข้าพเจ้าคือ การไม่ต้องการสิ่งใดเลย คือ ความสุข” เพราะ “เจ้าควรกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน” อีกทั้ง “มีเพียงหนึ่งเดียว-ความรู้ที่ดี หรือความโง่เขลาที่ชั่วร้าย” เพราะ “โสเครตีส” ยืนผงาดด้วยความมั่นใจว่า “ข้าพเจ้าขอบอกเจ้าว่า ความดีไม่ได้มาหาเจ้าด้วยเงิน แต่ความดีทำให้มีเงิน และเกิดสิ่งดีงามทุกอย่างของมนุษย์ ไม่ว่าจะเพื่อสังคมหรือเพื่อส่วนตัว นี่คือคำสอนของข้าพเจ้า และหากว่าหลักการนี้เป็นสิ่งที่หลอกลวงเยาวชน ข้าพเจ้าก็พร้อมเป็นคนเลว” นั่นเพราะ “โสเครตีส” ถูก “ผู้มีอำนาจกรุงเอเธนส์” กับ“พรรคพวกอันชั่วร้าย” ให้ร้ายป้ายสี ยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอย่างไม่เป็นธรรม ให้ถูก “ประหารชีวิต” แม้บรรดา“ลูกศิษย์”อาสาพาหนี แต่“โสเครตีส”กลับเดินผงาดเข้าหา“ความตาย”อย่างไม่หวั่นไหว “ดื่มยาพิษ”ลาจากโลกอย่างสง่างาม..
ทั้งนี้เพราะ“โสเครตีส”และ“นักปรัชญา” ยึดถือหลักการ“ความจริงไม่มีวันตาย” ดังเช่น “คนพูดความจริง” คือ“คนตายที่ไม่ตาย”นั่นเอง! “โสเครตีส” เป็น“ผู้ยิ่งใหญ่”ในเรื่อง“ปรัชญา” จนทุกคนในนครเอเธนส์รู้ว่า “เขา”เป็นดังเช่น “อ่างน้ำแห่งสติปัญญาที่ยิ่งใหญ่ล้ำค่า” คู่ควรแก่การปกป้องรักษา แม้จะถูกมองว่ามีความลึกลับอยู่บ้าง ด้วย “โสเครตีส” ไม่เคยบันทึกความคิดด้านเมตาฟิสิกส์และด้านศีลธรรมของ “ตัวเขา” ไว้เลย แต่กลับพา “ตัวเอง” ไปตามตลาดและแหล่งชุมชน เพื่อถกเถียงให้ความรู้ทางปรัชญา จนชื่อเสียงของ“โสเครตีส”เป็นดั่ง“มนต์วิเศษ” ที่ทำให้ผู้คนห่วงใยในความกล้าหาญ และเฉลียวฉลาดที่ผิดจากปุถุชนทั่วไป “โสเครตีส” เป็นแรงบันดาลใจ ที่ทำให้“นักปรัชญา”ระดับโลกอีกหลายคน “ยอมตาย”ด้วยคิดตรงกับคำพูดของ“โสเครตีส” ที่ประกาศอย่างองอาจว่า “ความตายอาจเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เพื่อดำรง “ความจริง” ให้อยู่ “คู่คน-คู่โลก”ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ว้าว! “โสเครตีส”และ“นักปรัชญา”อีกมากมาย ยินยอมพร้อมใจโดยไม่รีรอ ใช้“ความตาย”ก่อนวัยอันควรของ“ตัวเอง” เพื่อแลกกับ“ความจริง”! ต้องขอ“ขอบคุณความรู้” และ“คารวะอย่างสูง”แก่“ชีวิตต้องสู้”ของ“โสเครตีส”ไว้ ณ ที่นี้!!!