กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป.รรท.ผบก.ทล., พ.ต.อ.สุมรภูมิ ไทยเขียว รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ ผกก.7 บก.ทล.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.จตุพร ติกแก้ว สว.ส.ทล.1 กก.7 บก.ทล. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ
กก.7 บก.ทล.
ร่วมกันจับกุม นายเอกพลฯ อายุ 36 ปี
กระทำความผิดฐาน
1.“ร่วมกันฉ้อโกง และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม
ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่
บุคคลใดบุคคลหนึ่ง” ตามหมายจับของศาลแขวงพระนครเหนือที่ 908/2565 ลงวันที่ 8 ธ.ค.65 (สน.เตาปูน)
- “ฉ้อโกง” ตามหมายจับของศาลแขวงดุสิตที่ จ118/2565 ลงวันที่ 30 พ.ค.65 (สน.ดุสิต)
สถานที่จับกุม บริเวณหาดฟรีด้อม ป่าตอง ต.ป่าตอง อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต
พฤติการณ์
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 เวลาประมาณ 21.30 น. ผู้แจ้งได้ใช้แอปพลิเคชันไลน์ และได้เข้าไป
อ่านข่าว ปรากฏว่าได้มีข้อความเด้งขึ้นลักษณะเชิญชวนให้ลงทุนเกี่ยวกับการขนส่ง ผู้แจ้งสนใจที่จะร่วมลงทุน จึงได้กดเพิ่มเพื่อน ผู้ใช้บัญชีไลน์รายหนึ่ง ต่อมาผู้ใช้บัญชีไลน์ดังกล่าว ได้ส่งข้อความมาแจ้งว่า สวัสดีค่ะลูกค้า สุพิชาญาฯ เป็นฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทในเครือ Mercadolibre ยินดีให้บริการค่ะ หลังจากนั้นได้มีการ
ดึงผู้แจ้งเข้าไปในกลุ่มไลน์อีกกลุ่ม โดยมีสมาชิกในกลุ่มรวม 9 คน มีผู้ดูแลกลุ่มใช้ชื่อบัญชีไลน์ ว่า “กริณชวัล” โดยในกลุ่มแต่ละคนต้องทำยอดโดยการโอนเงินเข้าบัญชี และเมื่อครบขั้นตอนแล้วจะได้กำไรคืน จะมีการหลอกให้ผู้แจ้งทำภารกิจเป็นกลุ่ม 3 ภารกิจพร้อมกัน ถ้าเกิดคนใดคนหนึ่งในกลุ่มไม่มีเงินลงทุนต่อจะอ้างว่าเพราะคนนั้นทำให้คนอื่นไม่ได้เงิน ถอนไม่ได้ และจะถูกรุมด่า ขู่ว่าฟ้องเพราะทำคนอื่นอีก 5 คนเสียหาย
บีบทุกทางจนโอนครบภารกิจและสุดท้าย ด้วยความกลัว ผู้แจ้งจึงต้องโอนเงินเข้าจนครบตามที่ผู้ดูแลแจ้ง
เพื่อเอาเงินออกพอเราทำครบแจ้งระบบขัดข้อง ถอนเงินไม่ได้ โดยผู้แจ้งได้ทำการโอนเงินไป ในวันที่ 3 มีนาคม 2565 จำนวน 4 ครั้ง เข้าบัญชีชื่อ นายเอกพลฯ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 114,324 บาท โดยผู้ดูแลกลุ่มได้ส่งลิ้งก์
ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันชื่อว่า Mercado เพื่อให้เช็คว่าปัจจุบันกลุ่มผู้เสียหาย มียอดเงินบวกกำไรแล้วเท่าไหร่
ผู้แจ้งจึงกดเข้าไปเช็คพบว่ากลุ่มผู้เสียหาย มียอดเงินรวมทั้งหมด 171,486 บาท แต่กลุ่มผู้เสียหาย ไม่สามารถทำการถอนเงินดังกล่าวได้ จึงได้สอบถามไปยังผู้ดูแลกลุ่ม ผู้ดูแลกลุ่มได้แจ้งให้ ผู้แจ้งโอนเงินไปอีก 100,000 บาท เพื่อจะทำการปลดล็อกในการที่จะถอนเงินออก แต่ครั้งนี้ ผู้แจ้งไม่ได้โอนเงินไปอีก ผู้แจ้งจึงจะเข้าไปคุย
ในกลุ่มไลน์แรกอีกครั้งเพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว แต่ปรากฏว่าได้มีการเอาผู้แจ้ง ออกจากกลุ่มดังกล่าวแล้ว
ผู้แจ้งจึงเชื่อว่าถูกหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งเงินของกลุ่มผู้เสียหาย มาตั้งแต่ต้นและการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้แจ้งได้รับความเสียหาย กลุ่มผู้เสียหายจึงมาพบพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา
ตรวจสอบผู้ต้องหา พบว่า เป็นบุคคลตามหมายจับ ของศาลแขวงดุสิตที่ จ118/2565 ลงวันที่ 30 พ.ค.65 ในข้อหา “ฉ้อโกง” โดยผู้เสียหายมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ว่า นายเอกพลฯ ผู้ต้องหา
ในคดีนี้ ได้โทรศัพท์ไปหาผู้สียหายอ้างว่าเป็นพนักงานธนาคาร แจ้งว่าเป็นหนี้บัตรเครดิต จำนวน 56,294 บาท ค้างจ่าย จำนวน 2 เดือน ผู้ต้องหาได้ให้หมายเลขบัตรเครดิต เปิดที่ สาขาพิษณุโลก ต.หัวรอ อ.เมือง จ.พิษณุโลก วันที่เปิดบัตร 10 พ.ย.64 วันที่ใช้จ่ายครั้งแรก 13 ธ.ค.64 จำนวน 56,294 บาท ผู้เสียหายว่าไม่ใช่ตัวเค้า ผู้ต้องหาเลยแนะนำให้ไปแจ้งความที่พิษณุโลก ผู้เสียหายบอกว่าไม่สามารถไปได้ ผู้ต้องหาบอกว่าจะทำการติดต่อสถานีตำรวจในพื้นที่ หลังจากนั้น ผู้ต้องหาทำที่โอนสายไปอีกหมายเลขโทรศัพท์ แล้วอ้างว่าเป็นตำรวจจังหวัดพิษณุโลก ผู้ต้องหาจึงได้ถามชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร หมายเลขบัตรประชาชน พอถามเสร็จ ผู้ต้องหาบอกว่าทาง สภ.นี้ มีการแจ้งความทางไลน์ ได้แชทไลน์ แล้วคุยกัน ได้วีโอคอลคุยกัน ผู้ต้องหาแต่งชุดตำรวจ
ยศ พ.ต.ท. ผู้ต้องหาบอกว่าเป็นการยืนยันตัวตน วางสาย แล้วโทรคุยอีกรอบแต่ไม่เปิดกล้อง ถามผู้ต้องหาว่าไม่ใช่ตนจริงใช่มั้ยที่เปิดบัตรเครดิต ผู้ต้องหาจึงสอบถามข้อมูลต่างๆ บอกว่าจะส่งข้อมูลไปให้ DSI ตรวจสอบ จากนั้น ผู้ต้องหาบอกว่ามีส่วนในคดีฟอกเงินและยาเสพติด มีคนชัดทอดมา ผู้ต้องหาขออายัดบัญชีของผู้เสียหาย ผู้เสียหายยินยอมให้ตรวจสอบด้วยความมั่นใจ ผู้ต้องหาจึงให้ผู้เสียหายรวบรวมเงินมาอยู่ในบัญชีเดียวกันของธนาคารกสิกรไทย เพื่อให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง ทำการตรวจสอบ ผู้เสียหายเลยหลงเชื่อโอนเงินไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อนายเอกพลฯ จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 15,093.88 บาท ผู้เสียหายขอชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลคดี แต่ก็เงียบหายไป เชื่อว่าถูกหลอก จึงไปแจ้งความดำเนินคดี กับพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต
สอบถามคำให้การเบื้องต้น ผู้ต้องหารับสารภาพว่าตนได้รับการติดต่อจากเพื่อนชาวพม่า ให้เป็นคนเปิดบัญชีในการกระทำความผิด จำนวน 2 บัญชี โดยได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 2,500 บาท