ภายหลังนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐลงนามในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารเมื่อวันพุธ (9 ส.ค.) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการลงทุนใหม่และความเชี่ยวชาญของสหรัฐที่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความอ่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน คาดว่าจะบังคับใช้ในปี 2024 มีเป้าหมายไปที่การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และไมโครอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ควอนตัม และความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI) บางชนิด โดยกำหนดให้จีนเป็น “ประเทศที่น่ากังวล” และจะจำกัดการลงทุนของอเมริกาในเทคโนโลยีด้านความมั่นคงของชาติ 3 ประเภท ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีข้อมูลควอนตัม และระบบเอไอบางชนิด
“ประเทศที่น่ากังวลนั้นมีส่วนร่วมในกลยุทธ์ระยะยาวที่ครอบคลุม ซึ่งชี้นำอำนวยความสะดวก หรือสนับสนุนความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่อ่อนไหว ซึ่งมีความสำคัญต่อขีดความสามารถทางทหาร หน่วยข่าวกรอง การเฝ้าระวัง หรือความสามารถในการใช้งานไซเบอร์” ไบเดน กล่าว
เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่นายไบเดนลงนามในมาตรการที่กำหนดให้จีนเป็น “ประเทศที่น่ากังวล” ในประเด็นความมั่นคงของชาติ กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกมาตอบโต้อย่างแข็งกร้าว “จีนมีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง และขอรักษาสิทธิในการออกมาตรการตอบโต้” กระทรวงพาณิชย์จีนระบุในแถลงการณ์
แถลงการณ์ยังระบุอีกว่า “สิ่งนี้ขัดแย้งกับเศรษฐกิจการตลาดและหลักการแข่งขันอย่างเป็นธรรมที่สหรัฐให้การสนับสนุนมาโดยตลอด มาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการและการตัดสินใจของบริษัทต่าง ๆ อีกทั้งบ่อนทำลายระเบียบทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ และจะทำให้ความมั่นคงของอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกหยุดชะงักอย่างรุนแรง”
ทั้งนี้ เมื่อเดือนต.ค. 2565 สหรัฐได้ออกมาตรการระงับการส่งออกเทคโนโลยีอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์และชิปที่สำคัญไปยังจีน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประเทศผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เช่น ญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ ระงับการส่งออกด้วยเช่นกัน คำสั่งพิเศษของนายไบเดนมีขึ้นท่ามกลางการแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโลกซึ่งทวีความดุเดือดยิ่งขึ้น