วานนี้ (30 ส.ค.2566)กรมสรรพสามิตลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกระดับการทำงานด้วยการบูรณาการความร่วมมือ ในการใช้ข้อมูล การทำ Data Analytic การสืบสวนสอบสวน รวมถึงการป้องกัน วางแผนติดตาม และปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายภาษีสรรพสามิตออนไลน์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี สร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการที่สุจริต และยังเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคที่อาจเกิดอันตรายจากการบริโภคสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัลในยุคปัจจุบัน ทำให้รูปแบบการกระทำผิดมีความซับซ้อนและติดตามยากขึ้น เนื่องจากผู้กระทำผิดบนเครือข่ายออนไลน์ส่วนใหญ่ปกปิดตัวตนโดยการใช้ตัวตนสมมติ มีการใช้บัญชีธนาคารบุคคลอื่น หรือบัญชีม้า ทั้งยังมีการกระจายที่เก็บสินค้าผิดกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกติดตามไปยังเจ้าของสินค้าที่แท้จริง ส่งผลให้การกระทำผิดผ่านเครือข่ายออนไลน์ขยายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว และยากแก่การควบคุม กรมสรรพสามิตตระหนักและให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว รวมถึงความไม่ปลอดภัยจากการบริโภคสินค้า ที่ไม่ได้มาตรฐาน และความไม่เป็นธรรมต่อผู้เสียภาษีโดยสุจริต กอปรกับในช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตและกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทั้งในเรื่องของการใช้ข้อมูล การทำ Data Analytic การสืบสวนสอบสวน รวมถึงการป้องกัน วางแผนการติดตามและปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายภาษีสรรพสามิตออนไลน์ ซึ่งจากความบูรณาการทำงานร่วมกัน ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานและเห็นผลในเชิงประจักษ์ โดยในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม 2566 นั้น ด้วยการบูรณาการทำงานร่วมกัน ทำให้สามารถปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายภาษีสรรพสามิตออนไลน์ เป็นจำนวนถึง 6 คดีใหญ่ จึงเป็นที่มาของการร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กรมสรรพสามิตและกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งในเรื่องของข้อมูล การทำ Data Analytic การสืบสวนสอบสวน รวมถึง การป้องกัน วางแผนการติดตามและปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายภาษีสรรพสามิตออนไลน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน สร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการที่สุจริต และเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค
“กรมสรรพสามิตให้ความสำคัญกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่(Big Data) และการนำข้อมูลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อช่วยวิเคราะห์ ประมวลผล และคาดการณ์โอกาสที่จะเกิดจากการกระทำความผิดได้มากขึ้น การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มศักยภาพของการสืบสวนปราบปราม จะนำไปสู่การสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้เสียภาษีโดยสุจริต คุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค สร้างความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ของกรมฯ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สร้างมาตรฐานสากล เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน” อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าว
“ขอขอบคุณกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในการร่วมกันแก้ไขปัญหาการลักลอบซื้อขายสินค้าหนีภาษี และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับกรมสรรพสามิตมาโดยตลอดจนเกิดการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในวันนี้” อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวทิ้งท้าย
พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญ ด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมที่มีความร้ายแรงและสลับซับซ้อน มีหน้าที่สำคัญในการรวบรวม วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูล เพื่อใช้ในการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้าย โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้เตรียมความพร้อมเพื่อปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ 4.0
ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data เพื่อยกระดับศักยภาพ ด้านการสืบสวน สอบสวน เพิ่มความสามารถในการอำนวยความยุติธรรมและให้บริการประชาชน
“กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้มีการร่วมมือกับหลากหลายหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีในการบูรณาการร่วมกับกรมสรรพสามิตที่เล็งเห็นถึงความสำคัญและมีเจตจำนงร่วมกันในการใช้เทคโนโลยีเพื่อใช้ในการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาอาชญากรรม หวังว่า
ความร่วมมือครั้งนี้จะนำมาซึ่งความสงบสุขของประเทศชาติ และยกระดับการให้บริการประชาชนของทั้งสองหน่วยงานต่อไป” พลตำรวจโท จิรภพ กล่าว
ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ทางกรมสรรพสามิต กับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเสียภาษี ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดและการดำเนินคดี ข้อมูลเกี่ยวกับการขอและการออกใบอนุญาต หรือข้อมูลอื่นใดที่มีการจัดทำและครอบครองโดยกรมสรรพสามิต ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับผู้กระทำความผิด ผู้ต้องสงสัย เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และเพื่อประโยชน์ในการสืบสวน สอบสวน รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด หรือการก่ออาชญากรรม โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับออกไป เว้นแต่จะได้รับอนุญาตด้วยวิธีการที่ตกลงกันจากเจ้าของข้อมูลเท่านั้น
ผลจากการบูรณาการระหว่างสองหน่วยงาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ เจ้าหน้าที่สรรพสามิตสามารถตรวจยึดของกลางบุหรี่ที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ และบางส่วนเป็นบุหรี่ปลอมใช้ยี่ห้อต่างประเทศ โดยได้มีการโฆษณาจำหน่ายบุหรี่หนีภาษีผ่านช่องทางออนไลน์คิดเป็นจำนวน 30,000 มวน มูลค่าความเสียหายต่อรัฐหลักล้านบาท ซึ่งสินค้าเหล่านี้หากเล็ดลอดไปได้จะสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของความชอบธรรมต่อผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต รวมถึงการดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชนผู้บริโภค ร่วมกันดูแลผลประโยชน์ของประเทศ และปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสายด่วน 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรืออีเมล excise_hotline@excise.go.th โดยกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ