อัจฉริยะร้อง ปปป.กล่าวโทษดำเนินคดีอาญา รอง ผอ.ดีเอสไอ กับพวก กรณีปล่อยอายัดรถหรูโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

“….นายอัจฉริยะ เผยมีการพบว่า นายวรพจน์ ไม้หอม มีการปล่อยอายัดรถหรู จำนวน มากกว่า 10 คัน ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชี้ตามข้อมูลยังมีเจ้าหน้าที่กระทำความผิดอีกหลายคน เช่น อดีตเลขานุการรัฐมนตรี ยุค นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดร่วมกันมา และถ้าจะคืนรถทั้งหมด 111 คัน ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ซึ่งสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ตอนนี้คือ เลือกคืน รถเฉพาะบางราย ที่ได้ผลประโยชน์ ซึ่งมูลค่า ความเสียหายที่ทำให้ ดีเอสไอ เสียหาย ทั้งหมด 1,000 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อบุคคลที่ซื้อรถหรูไปโดยสุจริต…”

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 4 ก.ย.66 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญา นายวรพจน์ ไม้หอม รองผอ.ดีเอสไอ กับพวก เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157 ในกรณีปล่อยอายัดรถหรูโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า วันนี้ มายื่นเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษ ดำเนินคดีอาญากับ นายวรพจน์ ไม้หอม รอง ผอ.ดีเอสไอ กับพวกในคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157 ในกรณีปล่อยอายัดรถหรูโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

สืบเนื่องจาก มีการพบว่านายวรพจน์ ไม้หอม มีการปล่อยอายัดรถหรู จำนวน มากกว่า 10 คัน ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ และศาล มี 2 คดี ที่ได้มีคำสั่งให้ยึดของกลางทั้งหมดและมีการปล่อยอายัดรถหรูไป ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษและทำให้บุคคลที่ซื้อรถต่อจากผู้ต้องหา ต้องถูกยึดรถไปและต้องมาฟ้องร้องดีเอสไอ ทำให้เกิดความเสียหาย จึงมาดำเนินคดีกับ นายวรพจน์ ไม้หอม และพวก

พฤติการณ์ นายวรพจน์ คือ อ้างคำสั่งคดี อธิบดี ดีเอสไอ ว่าการจะปล่อยอายัดรถหรูจะต้องเป็นอำนาจของอธิบดี ดีเอสไอ ในยุคที่ผ่านมา แต่เนื่องจากว่าอาศัยช่องโหว่เพื่ออ้างว่าปฎิบัติราชการ ที่จริงแล้วไม่มีอำนาจเพราะว่าอาศัยอำนาจตามอัยการ มาตรา 85 (1) ในการคืน ซึ่งปัจจุบันทางอัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งโต้แย้งอำนาจดังกล่าวว่า คืนรถด้วยการไม่ชอบด้วยกฎหมาย รถที่ยึดมา ผิดกฎหมายทุกคัน ก็มีตัวอย่างเช่น มีการตั้งคณะกรรมการสอบ นายมเหศักดิ์ กับ พวกเหมือนกันในคดีปล่อยอายัดรถหรูจำนวนมาก และศาลได้มีคำพิพากษาในการยึดรถไปแล้วเช่นเดียวกัน

อัจฉริยะกล่าวต่อว่า นายวรพจน์ กับพวก ร่วมมือกันมาตั้งแต่แรก แต่ยังไม่มีใครมาร้องเรียน เนื่องว่า เพราะต้องรอคำสั่งจากอัยการสูงสุด และต้องรอดูคำพิพากษาของศาลว่า จะมีการยึดของกลางหรือไม่ อย่างเช่น คดีของ บอย ยูนิตี้ เห็นได้ชัดเจนว่า โดนไป 30 ปี ซึ่งตามข้อมูลยังมีเจ้าหน้าที่กระทำความผิดอีกหลายคน เช่น อดีตเลขานุการรัฐมนตรี สมัยยุค นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดร่วมกันมา และถ้าจะคืนรถทั้งหมด 111 คัน ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ซึ่งสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ตอนนี้คือ เลือกคืน รถเฉพาะบางราย ที่ได้ผลประโยชน์ ซึ่งมูลค่า ความเสียหายที่ทำให้ ดีเอสไอ เสียหาย ทั้งหมด 1,000 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อบุคคลที่ซื้อรถหรูไปโดยสุจริต

ยกตัวอย่างเช่น นายบอย ขายรถหรูให้กับนาย ไก่ แต่นายบอยเป็นต้นเหตุที่นำรถเข้ามาแบบผิดกฎหมาย และรถของนายบอยก็เป็นรถของกลางในคดี ช่วงที่ปล่อยอายัดให้นายบอย และนายบอยก็ไปขายให้กับนายไก่ และนายไก่อาจจะไปขายให้นายวัน ซึ่งทั้งนายไก่ กับ นายวัน ได้รับผลกระทบจากการถูกยึดรถไป และนายวันเป็นผู้เสียหายต้องมาฟ้องนายบอย หรือไปฟ้องดีเอสไอในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ซึ่งทำให้ DSI ได้รับความเสียหาย วันนี้ จึงมาดำเนินคดีนายวรพจน์ ไม้หอมต่อไป

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับแจ้งและจะดำเนินการต่อไป

สืบจากข่าว รายงาน