วันเสาร์, กันยายน 21, 2024
หน้าแรกข่าวประชาสัมพันธ์กสม. เผยผลการตรวจเยี่ยมศูนย์กักตัว ตม. สงขลา พบการปฏิบัติไม่เหมาะสมตามหลักสากล เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไข

Related Posts

กสม. เผยผลการตรวจเยี่ยมศูนย์กักตัว ตม. สงขลา พบการปฏิบัติไม่เหมาะสมตามหลักสากล เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไข

นางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มีโครงการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวในสังกัดกระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศูนย์ซักถามในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 กสม. ได้เข้าตรวจเยี่ยมศูนย์กักตัวผู้ต้องกักตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา โดยใช้แบบรายการที่ต้องตรวจเยี่ยมและแบบบันทึกการเข้าเยี่ยมภายใน ตามมาตรฐานคู่มือปฏิบัติการตรวจเยี่ยมสถานที่คุมขัง ของสมาคมเพื่อป้องกันการทรมาน (APT) ปรากฏข้อเท็จจริงอันมีลักษณะเป็นการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนหลายประการ สรุปได้ดังนี้

(1) มีการกักเด็กกับมารดาร่วมกับผู้ต้องกักหญิงอื่นในสภาพแออัด ไม่ถูกสุขลักษณะ และไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเด็กและไม่สอดคล้องกับสิทธิเด็กที่จะไม่ถูกจับกุม กักขัง หรือจำคุก โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการกักขังเด็กต้องใช้เป็นมาตรการสุดท้ายและมีระยะเวลาที่สั้นที่สุด โดยเด็กต้องถูกแยกต่างหากจากผู้ใหญ่ เว้นแต่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อเด็กที่จะไม่แยกกักเช่นนั้น ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นภาคี และข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งองค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (ข้อกำหนดแมนเดลา)

(2) ห้องกักมีความแออัด และบางห้องมีพื้นที่ควบคุมขนาดต่ำกว่า 2.25 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสากลขององค์การสหประชาชาติ ทำให้อากาศไม่ถ่ายเท จึงมีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

(3) มีการกักตัวผู้ต้องกักไว้เป็นระยะเวลานานและไม่มีกำหนดปล่อยตัวที่แน่ชัด อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลและความเครียดสะสม กรณีนี้แม้ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย (Convention Relating to the Status of Refugees) แต่ประเทศไทยยังคงมีหน้าที่ด้านมนุษยธรรมที่ต้องดูแลและให้ความช่วยเหลือผู้ต้องกักเหล่านี้ให้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานและดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสม สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทยจึงต้องร่วมกันพิจารณาใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติให้ ในระหว่างรอการส่งกลับ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอนุญาตให้ไปพักอาศัยอยู่ที่อื่นได้โดยคนต่างด้าวต้องมาพบพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนด โดยต้องมีประกัน หรือมีทั้งประกันและหลักประกัน รวมทั้ง ต้องคัดกรองผู้ต้องกักให้เหมาะสม ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความเห็นทั่วไปที่ 35 ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ระบุว่า การคุมขังเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาถือเป็นการคุมขังโดยพลการ อันมีลักษณะไม่เหมาะสม ไม่เป็นธรรม ขัดกับความชอบด้วยเหตุผล ความจำเป็น และความได้สัดส่วน

(4) ในการรักษาพยาบาล พบว่ามีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแต่ไม่มีแพทย์ประจำศูนย์กักตัวผู้ต้องกัก ซึ่งแม้ผู้ต้องกักสามารถปรึกษาแพทย์ทางโทรศัพท์ได้ แต่หากจำเป็นต้องส่งตัวผู้ต้องกักที่ศูนย์กักคนเข้าเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา ออกไปรับการรักษาภายนอกต้องส่งไปโรงพยาบาลปาดังเบซาร์ ซึ่งมีระยะทางไกล จึงเห็นว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุขต้องกำหนดหลักเกณฑ์การส่งตัวผู้ต้องกักใหม่ โดยให้ส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสะเดาซึ่งมีระยะทางใกล้กว่า เพื่อให้การรักษาพยาบาลเป็นไปด้วยความรวดเร็วตามมาตรฐานเดียวกับที่รัฐจัดให้ประชาชนอื่น

(5) ไม่มีการตรวจร่างกายผู้ต้องกักเมื่อแรกเข้า เนื่องจากไม่มีงบประมาณและจำนวนเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ จึงไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดแมนเดลลา ข้อ 34 ที่ระบุให้มีการตรวจร่างกายผู้ถูกควบคุมตัวก่อนนำเข้าสู่สถานที่คุมขัง เพื่อป้องกันการกระทำทรมานที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง และลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่าง ๆไปสู่บุคคลอื่น

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566 จึงมีมติให้มีหนังสือแจ้งสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติต่อผู้ต้องกักศูนย์กักตัวผู้ต้องกักตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลาไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นข้างต้น โดยมีข้อเสนอแนะอันเป็นสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

ข้อเสนอแนะระยะเร่งด่วน ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการแยกเด็กและผู้หญิงที่ถูกกักตัว โดยเฉพาะหญิงมีบุตรและต้องเลี้ยงดูบุตรในห้องกักร่วมกับผู้ต้องกักหญิงอื่น โดยพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดการก่อสร้างสถานที่กักตัวแห่งใหม่ซึ่งอยู่ในแผนดำเนินการ บริเวณคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อลดความแออัดหรือเพิ่มพื้นที่กักตัวตามมาตรฐานสากล ถูกสุขอนามัย และปลอดภัย ตามข้อกำหนดแมนเดลลา โดยให้มีสถานที่แยกกักตัวสำหรับเด็กและผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงที่มีบุตร อีกทั้ง มีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย และการประกอบศาสนกิจ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาการขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวหรือผู้ที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนสำหรับผู้ต้องกัก กระทรวงแรงงานพิจารณาให้สิทธิการทำงานสำหรับผู้ต้องกัก ในระหว่างที่ยังไม่สามารถส่งกลับประเทศต้นทางที่ผู้ต้องกักมีสัญชาติ หรือส่งไปประเทศที่ 3 ได้ และกระทรวงการต่างประเทศประสานความร่วมมือกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อช่วยเหลือชาวโรฮีนจาให้สามารถเข้าไปตั้งรกรากและเป็นพลเมืองของประเทศที่ 3 ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts