“…ขณะที่รัฐบาลประกาศความสำเร็จในการ ลงนามสันติภาพ ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมีเสียงวิจารณ์ดังกึกก้องจาก “วีระ สมความคิด” ว่า ข้อตกลงนี้อาจเป็นเพียง “กระดาษแผ่นเดียว” แลกกับการสูญเสียอธิปไตยครั้งใหญ่ ทั้งการถูก กัมพูชายึดครองผืนแผ่นดินไทย 100% ที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้วนานกว่า 40 ปี และที่น่าตกใจกว่าคือ การเซ็นสัญญา “ดีลลับ” ยกสัมปทาน “แร่แรร์เอิร์ธ” ทรัพยากรหายากให้แก่ สหรัฐอเมริกา โดยไม่มีการสอบถามประชาชนแม้แต่น้อย
ที่สำคัญ “วีระ” ได้เปิดฉาก ซัดรัฐบาลอย่างรุนแรง ถึงคำพูดของผู้นำ ที่ระบุว่า “เขมรก็รุกแผ่นดินไทย ไทยก็รุกแผ่นดินเขมร” โดยตอบโต้ด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อนว่า “พูดออกมาได้อย่างไรจากปากผู้นำ ไอ้โกหก ไอ้ขายชาติ พูดอย่างนี้ได้อย่างไร? ตนเองไม่ใช่ตาสีตาสา” ที่จะถูกหลอกลวงได้ง่าย ๆ การเจรจาสันติภาพครั้งนี้จึงถูกตั้งคำถามเชิงสืบสวนว่า เป็นฉากบังหน้าเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ โดยมี ‘อธิปไตยของชาติ‘ เป็นเดิมพันใช่หรือไม่? ซ้ำร้าย! ผู้นำการทวงคืนผืนแผ่นดินกลับกำลังถูกคุกคามด้วยข่าวการใช้ กฎอัยการศึก คุมตัว ซึ่งเจ้าตัวประกาศชัดว่าพร้อมสู้และชนทุกอำนาจ…”

สันติภาพที่บาดลึกกว่าสงคราม
1. ภารกิจทวงคืนที่ถูกคุกคาม: ใครคือ ‘ผู้บ่อนทำลายความมั่นคง‘ ตัวจริง?
ท่ามกลางกำหนดการที่ประชาชน และ คุณวีระ สมความคิด จะรวมตัวกันแต่เช้า เพื่อยื่นคำขาดให้เจ้าหน้าที่รัฐขับไล่ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอยู่ในพื้นที่ บ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้ว ออกไปภายในเวลา 13:00 น. กลับมีกระแสข่าวว่า รัฐบาลอาจสั่ง ควบคุมตัว คุณวีระ ภายใต้ข้อหา “ปล่อยข่าวบ่อนทำลายความมั่นคง” และ “สร้างความแตกแยก” เพื่อขัดขวางปฏิบัติการทวงคืน
คุณวีระตอบโต้ข้อกล่าวหานี้อย่างเผ็ดร้อน โดยตั้งคำถามกลับไปยังผู้มีอำนาจว่า หากจะใช้ กฎอัยการศึก ในการจับกุมตนซึ่งเป็นพลเมืองไทยผู้ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 51 (ปกป้องชาติ) เหตุใดเจ้าหน้าที่รัฐจึงละเลยที่จะใช้กฎหมายเดียวกัน จับกุมชาวกัมพูชาหลายร้อยคน ที่บุกรุกแผ่นดินไทยอย่างชัดเจนมานานถึง 40 ปี การปล่อยปละละเลยให้ต่างชาติยึดครองดินแดนต่างหาก ที่เป็นพฤติการณ์ “ยิ่งกว่าบ่อนทำลายความมั่นคง” และ “แบ่งแยกดินแดน” อย่างชัดเจน โดยย้ำว่าพื้นที่ทั้งสองแห่งนั้น “เป็นแผ่นดินไทยร้อยเปอร์เซ็นต์” ไม่ใช่พื้นที่พิพาทตามแผนที่ใด ๆ

2. สันติภาพฉาบฉวย: ความไม่สมดุลและการแอบแฝงผลประโยชน์
การลงนามใน “ข้อตกลงสันติภาพ” ถูกวิเคราะห์ว่ามีแต่ความไม่สมมาตรและขาดหลักประกัน
- ไร้หลักประกันความปลอดภัย: ข้อตกลงไม่มีหลักประกันว่ากัมพูชาจะไม่ “แอบยิง” หรือ “แอบวางระเบิด” ซ้ำยังใช้กลไก IOT (Observation Team) อย่างไม่โปร่งใส โดยกัมพูชาไม่เคยแจ้งฝ่ายไทยเมื่อมีการนำคณะตรวจสอบเข้าพื้นที่ ต่างจากฝ่ายไทยที่เปิดเผยข้อมูลทุกครั้ง
- ความเหลื่อมล้ำในการถอนอาวุธ: ในขณะที่ไทย ขนรถถังกลับไปถึงสระบุรี พร้อมเปิดเผยรายละเอียดรุ่นและขนาดทั้งหมดอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดเผยความลับทางทหาร กัมพูชาถอนอาวุธออกไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรและไม่มีรายละเอียดใด ๆ ทำให้ไทยเสี่ยงต่อการถูกบุกรุกหากมีการถอนกำลังจนหมด
- มูลเหตุที่ซ่อนเร้น: MOU แรร์เอิร์ธและการเปิดด่าน: คุณวีระชี้ว่า ผลประโยชน์ที่แท้จริง ของการเจรจาอาจเชื่อมโยงกับการที่ผู้นำต่างชาติ อย่าง “สหรัฐอเมริกา” ได้ “แร่แรร์เอิร์ธ” ซึ่งเป็นทรัพยากรหายากจากไทยไป พร้อมทั้งการปูทางไปสู่การ เปิดด่าน ถาวร ซึ่งจะช่วยต่อชีวิต บ่อนคาสิโน ในกัมพูชาที่กำลังซบเซา (เนื่องจากลูกค้าหลักกว่า 80% คือคนไทย) การตัดสินใจยกผลประโยชน์ทางทรัพยากรเหล่านี้ถูกดำเนินการโดย ไร้การถามความเห็นจากประชาชน อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ซ้ำรอย MOU 2543 ที่รัฐบาลในอดีตเคยแอบเซ็นไว้โดยไม่ผ่านสภา

3. ‘ละมุนละม่อม’ ที่ล้มเหลว: 40 ปีแห่งการทรยศต่ออธิปไตย
คำถามที่ว่า ทำไมรัฐบาลจึงไม่เลือกใช้แนวทาง “ละมุนละม่อม” ในการจัดการปัญหาการบุกรุก 40 ปีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นหลักฐานความบกพร่องของรัฐไทยเอง คุณวีระระบุว่า การบุกรุกพื้นที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว เป็นการ ละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่อชาวบ้านคนไทยที่เป็นเจ้าของพื้นที่มานานกว่าสี่ทศวรรษ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และ กองทัพบก ต่างก็ยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย 100% มานานแล้ว การประท้วงกัมพูชาไปแล้วกว่า 600 ครั้ง โดยไม่เกิดผลใด ๆ ชี้ให้เห็นว่า ความละมุนละม่อมไม่เคยได้ผล มีแต่การถูก “ทอดธุระ” และ “ปล่อยปละละเลย” จากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นร้อน: คำพูดนายกฯ ที่สั่นคลอนอธิปไตย
คุณวีระ สมความคิด ได้กล่าวถึงประเด็นที่ นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวในที่สาธารณะว่า “ไทยก็ไปแย่งแผ่นดินเขมร เขมรก็ไปแย่งแผ่นดินไทย” ซึ่งคุณวีระมองว่าเป็นการพูดที่ ทำลายประเทศตัวเองอย่างรุนแรง
“ไอ้โกหก ไอ้ขายชาติ พูดออกมาอย่างงี้ได้ยังไงอ่ะ เป็นนายกมาพูดอย่างนี้ได้ไง… นายกไทยก็ยอมรับว่าไทยก็ไปแย่งแผ่นดินมัน สมควรพูดไหมครับ คนเป็นนายกประเทศไทย สมควรพูดให้ร้ายประเทศตัวเองเหรอครับ”
คำพูดดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการ “พูดให้ร้ายประเทศตัวเอง” เท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ ฮุนเซน ของกัมพูชานำไปใช้ “เคลม” และประกาศต่อโลกได้ว่า ไทยยอมรับการรุกล้ำดินแดน ซึ่งคุณวีระยืนยันว่า ตนเองในฐานะผู้ติดตามข้อมูลพื้นที่ชายแดนมาอย่างยาวนาน ไม่เคยปรากฏข้อเท็จจริงว่าไทยรุกล้ำแผ่นดินเขมร และเน้นย้ำว่าพื้นที่พิพาทโดยเฉพาะ บ้านหนองจาน นั้นเป็น แผ่นดินไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ มาโดยตลอด การที่นายกฯ พูดเช่นนั้นเท่ากับเป็นการ บิดเบือนข้อเท็จจริง และ ทรยศต่อผลประโยชน์ของชาติ เพราะตนเองนั้น ไม่ใช่ตาสีตาสา ที่จะหลงเชื่อการโกหกหลอกลวงของรัฐบาล
สิ่งที่ประชาชนค้างคาใจตลอดมา
เมื่อพลเมืองไทยผู้ลุกขึ้นมาทวงคืนแผ่นดินถูกคุกคามด้วยข้อหา ‘บ่อนทำลายความมั่นคง’ ในขณะที่ผู้บุกรุกต่างชาติกลับได้รับการปกป้องโดยปริยายจากรัฐบาล คำจำกัดความของ ‘ความมั่นคงของชาติ’ สำหรับรัฐบาลชุดนี้คืออะไรกันแน่?



รัฐบาลสามารถลงนามในข้อตกลงที่ผูกพันผลประโยชน์ทรัพยากรชาติ (แร่แรร์เอิร์ธ) และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่ต้องถามความเห็นประชาชน แต่กลับโยนภาระการตัดสินใจยกเลิก MOU 2543 ให้ประชาชนไปทำประชามติ—การกระทำเช่นนี้สะท้อนว่า รัฐบาล ‘เห็นหัว’ ประชาชนในสถานการณ์ใด?

 
                                    