“ปืนจ่อหัว” หรือ “แผนซ่อนเร้น”? เปิดเบื้องลึกเบื้องหลัง ปฏิญญาสันติภาพ และ MOU แร่หายาก!
พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ ออกโรงวิเคราะห์สถานการณ์ประเทศด้วยถ้อยคำที่ดุเดือดและสั่นสะเทือนอารมณ์ประชาชน โดยเฉพาะการลงนาม “ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา” ที่มีขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่ง พล.อ.รังษี ชี้ว่า แท้จริงแล้วนี่คือ “เครื่องมือมัดมือชก” ที่ทำให้ไทยถูก “ล็อคขา” ตัวเองอย่างถาวร!
ข้อตกลงนี้มิใช่แค่เรื่องความมั่นคง แต่เป็น “ละครฉากบังหน้า” ที่ซ่อนเร้นภาระผูกพันมหาศาล ทั้ง MOU 43/44 และการเปิดประตูให้ “มหาอำนาจสหรัฐฯ” เข้ามาตักตวงผลประโยชน์ “แร่หายาก” ของไทย! การตัดสินใจของ “นายกฯ คนที่ 32″ กำลังจะกลายเป็น “วิกฤตแห่งชาติ” ที่โยนให้ “นายกฯ คนที่ 33″ แบกรับ!
ประเด็นที่ 1: “ปฏิญญาสันติภาพ” คือ “ยาพิษ” ล็อกขาไทยให้เสียเปรียบ!
- คำพูดแรงกระแทก: “ไอ้ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชาเนี่ย…มันเลยมัน มันทำให้เราเนี่ย ถูกล็อคขาตัวเองหนักขึ้น แล้วเป็นยาตัวนี้มันกลับกลายเป็นทำให้ MOU 43 44 เนี่ย เราเสียเปรียบกัมพูชามากขึ้น!”
- ถูกล็อกขาเจรจา: ปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึง “การห้ามใช้กำลัง” และให้ใช้ “สันติวิธี ผ่านการเจรจาเท่านั้น” แต่ในทางกลับกัน กัมพูชากลับใช้ กำลังทหารรุกล้ำ ในทัพภาค 2 และใช้ มวลชน/สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ ในเขตทัพภาค 1 อย่างต่อเนื่อง
- ใช้แผนที่ 1:200,000: หากยังคงยึดตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ระบุใน MOU 43/44 เป็นหลักในการกำหนดเขตแดน “เราจะเสียอ่าวไทยครึ่งหนึ่ง” ทำให้ปัญหาการรุกล้ำในพื้นที่พิพาท รวมถึงกรณี บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว ไม่มีวันจบสิ้น
ประเด็นที่ 2: MOU แร่หายาก: “เปิดประตูให้มะกัน” เสี่ยง “แตกหักจีน”!
พล.อ.รังษี ชี้ว่า MOU แร่หายาก (Rare Earth) คือ ประเด็นหลักที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สหรัฐฯ กำลังทำสงครามการค้ากับจีน และจีนใช้การ “ตัดการส่งออกแร่หายาก” สวนกลับ ทำให้แร่หายากซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเทคโนโลยีระดับสูงและอาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นที่ต้องการอย่างมากของสหรัฐฯ
- การแลกด้วยอธิปไตยทางเศรษฐกิจ: การเซ็นข้อตกลงนี้ทำให้สหรัฐฯ ได้สิทธิ์เข้ามาสำรวจและอาจตั้งโรงงานแปรรูปก่อนเจ้าอื่น รวมถึงข้อตกลงทางการค้าที่ บีบให้ไทยต้องลดภาษีนำเข้าของอเมริกาเหลือ 0% ในขณะที่เรายังโดนเก็บ 19% และต้องซื้อสินค้าการเกษตร อาวุธ (เครื่องบิน 10 ลำ) จากสหรัฐฯ
- คำพูดแรงกระแทก: การกระทำนี้อาจนำพาประเทศไปสู่ “ความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น” กับมหาอำนาจอย่าง “จีน”! “ถ้าจีนไม่พอใจและไม่ส่งนักท่องเที่ยว ไม่สั่งซื้อสินค้าเรา เราก็เสร็จแล้ว!” การให้สิทธิ์มะกันขุดแร่ในขณะที่จีนเป็นคู่กรณีหลัก อาจทำให้ไทยถูกลากเข้าสู่ความขัดแย้งของมหาอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ทางออกต้องเป็นหุ้นส่วน: หากหลีกเลี่ยงการทำ MOU ไม่ได้ ไทยไม่ควรให้เป็น “สัมปทาน” แต่ควรเป็น “การลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G)” พร้อมแบ่งปันผลกำไร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ประเด็นที่ 3: “เงินหมื่นล้านซื้อชาติ”! โทษประหารเท่านั้นคือทางรอด!
- คำพูดแรงกระแทก: ความอ่อนแอทางการเมืองคือ “จุดอ่อน” ที่ถูกประเทศเพื่อนบ้านใช้ “เงินหมื่นล้าน” บงการโดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร! “ถ้ามันโยนเงินมาหมื่นล้านอ่ะ มันซื้อเสียงได้ 300 คนอ่ะ ประเทศนี้จบอยู่ในการเมืองไอ้ฮุนเซนเลยนะ โดยที่มันไม่ต้องใช้กำลังทหารอ่ะ“
- เนื้อร้ายที่กัดกินประเทศ: พล.อ.รังษี ประกาศกร้าวให้คนไทยต้องเข้าใจความจริงที่โหดร้าย: “ใครที่เอาเงินมาแจกเพื่อซื้อเสียง ต้องตั้งสมมติฐานเลยว่ามันเอาเงินสแกมเมอร์มาซื้อเสียง แล้วไอ้คนซื้อเสียงเนี่ย เป็นคนเลวร้อยเปอร์เซ็นต์ คือมึงกะมาโกงอย่างเดียว!”
- ทางรอดสุดท้าย: ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ หนี้สินมหาศาล และปัญหาคอร์รัปชันที่ไม่เคยถูกจัดการอย่างเด็ดขาด ทางรอดเดียวที่เหลืออยู่คือการใช้ยาแรง “ปรับแก้กฎหมายคอร์รัปชันหรือผิดมาตรา 157 เป็นโทษประหารชีวิต และไม่มีการลดโทษ” เพื่อจัดการกับผู้ที่ตั้งใจมาโกงกินประเทศอย่างแท้จริง
- กู้ชาติด้วย 2 เมกะโปรเจกต์ (แบบไร้โกง): รัฐบาลชุดหน้าต้องเร่งสร้าง Ocean Link (เส้นทางขนส่งทางเรือข้ามคาบสมุทร) และ รถไฟความเร็วสูงเชื่อมภูมิภาค (พร้อมนิคมเกษตรตามแนวเส้นทาง) ด้วยวิธี G2G เพื่อยกระดับศักยภาพประเทศและสร้างรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น 3 เท่า แต่ทั้งหมดจะล้มเหลวหากยังมีการ เรียกเงินใต้โต๊ะ
การตัดสินใจของผู้นำประเทศครั้งนี้ ท่านคิดว่าเป็นการ “สมเหตุสมผล” เพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านอื่น หรือเป็นการ “เสียเปรียบซ้ำซ้อน” ที่ผู้นำคนต่อไปต้องรับภาระหนักอึ้งในการแก้ไข?
#สืบจากข่าว รายงาน




