เมื่อเวลา 09.55 น. 8 พ.ย.66 ที่บริเวณกลางถนนพหลโยธินขาเข้าบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีนายวุฒิโรจน์ อริยเดชอนันต์ หรือ เสี่ยหมู นักธุรกิจพัฒนาที่ดิน ชาวจังหวัดปราจีนบุรี ลงนอนขวางรถที่สัญจรบนเส้นทาง เพื่อเรียกร้องความสนใจต่อสื่อมวลชนที่มาติดตามการนำเสนอข่าวที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยนายวุฒิโรจน์ หรือเสี่ยหมู มีการนอนลงบนถนน ก่อนจะลุกขึ้นมา และยกมือไหว้ขอโทษประชาชนที่ใช้รถใช้ถนน และหันหน้าเข้าร้องต่อสื่อมวลชน
โดยเสี่ยหมู ระบุว่าที่ตนเองต้องเดินทางมาทำเช่นนี้เนื่องจาก ที่ดินของตนเองในจังหวัดปราจีนบุรี ที่มีการทำเป็นตลาด ถูกนายทุนคนจีนร่วมกับตำรวจระดับสูงยึดไป
ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่ตนเอง นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองเพื่อแลกกับการกู้ยืมเงินของนายทุนจีนคนหนึ่งในวงเงินจำนวน 40 ล้านบาท โดยมีการทำสัญญาในระยะเวลาหนึ่งปีครึ่ง ซึ่งตามสัญญาเมื่อครบกำหนดตนเองจะต้องคืนเงินจำนวน 55 ล้านบาท มีตัวกลางในการทำสัญญาเป็น อัยการคนหนึ่ง แลกกับ การต้องให้เงินกับเมียอัยการ คนนี้จำนวนสองล้านบาท
ต่อมาในระยะเวลาประมาณ 3 เดือนนายทุนจีนคนดังกล่าว ได้มีการยึดที่ของตนเองไป โดยในตอนนั้นมีการเรียกตนเองไปเพื่ออ้างว่าจะทำสัญญาฉบับใหม่แลกกับเงิน 10 ล้านบาทเพิ่มเติม โดยนัดกันในพื้นที่พัทยาเมื่อตนเองเดินทาง ก็ได้มีการ นำทนายกับตำรวจนอกราชการ เข้าไปดำเนินการยึดตลาดสดของตนเองเป็นที่เรียบร้อย
หลังเกิดเรื่องตนเองได้เข้าไปติดต่อนายตำรวจยศพลโทรายหนึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจ ท่องเที่ยว ที่ปัจจุบันเกษียณอายุราชการไปเป็นที่ ให้เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว โดยพลตำรวจโทคนดังกล่าวรับว่าจะดำเนินการตรวจสอบคนจีนกลุ่มนี้ให้แลกกับเงินที่จะต้อง ให้เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งล้านบาท ซึ่งตนเองยินยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้เพราะหวังต้องการให้ตรวจสอบคนจีนและดำเนินการเอาตลาดคืน
ซึ่งการตรวจสอบดังกล่าวพบว่าคนจีนกลุ่มนี้มีการ สวมบัตรประชาชน คนไทย และมีหน่วยงาน ในประเทศเกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยงาน จนมีการร้องขอให้ตนเองหยุดดำเนินการ และแลกกับการออกหมายจับชาวจีนที่เป็นแม่คนถือโฉนดที่ดินของ
ต่อมามีการนำหมายจับเข้าไปจับกุมแต่กลายเป็นว่าเป็นการต่อรองกันโดยมาแจ้งกับตนเองว่าชาวจีนจะคืนที่ดินให้ แต่ขอเงินจำนวน 50 ล้านบาทคืน ซึ่งหากตนเองไม่มีไม่เป็นไรเพราะทางพลตำรวจโทรายนี้เสนอที่จะให้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวดังกล่าว เพื่อไปไถ่กับคนจีนรายนี้กลับมาก่อน แต่แรกกับการต้องเปลี่ยนชื่อในสัญญาจากเดิมที่เป็นลูกสาวชาวจีนรายนี้ ลูกเขยของนายตำรวจยศพลตำรวจโท และเป็นลูกของนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลชื่อดังในประเทศ ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีการทำไว้จำนวน 3 ปี มีการกำหนดดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 18 ต่อปี โดยหาตนเองไม่สามารถดำเนินการไถ่ถอนที่ดินในระยะเวลาสามปีได้ที่ดินตกเป็นของลูกเขยนายตำรวจคนนี้ซึ่งตนเองก็
แต่ขณะนี้เวลาผ่านมาเพียง 11 เดือน นายตำรวจยศพลตำรวจโทคนนี้ได้มามาพร้อมกับลูกน้องและมีการพา ตนเองเข้าไป ในห้องของรองผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี โดยภายในห้องตนเองยังสังเกตุเห็นเป็นลักษณะพวกกลุ่มมือปืน จำนวนหนึ่ง คล้ายกับคดีของผู้กำกับโจ้ ซึ่งทั้งหมดได้มีการพูดจาข่มขู่ให้ตนเอง ยอมเซ็นยกตลาดให้กับนายตำรวจคนนี้ ซึ่งตนเองถูกกักขังนานหลายชั่วโมงก่อนที่จะยอมเซ็นเนื่องจากเกรงจะไม่ปลอดภัย
ที่ผ่านมาตนเองได้พยามร้องขอความเป็นธรรมกับทางกองปราบมาตลอดตั้งแต่ปี 2563 แต่มาจนถึงขนาดนี้คดียังคงไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งในช่วงปี 2563 ในตอนแรกตำรวจกองปราบไม่ยอมรับคดีของตนเอง แต่มีบุคคลที่อ้างว่าเป็นคนสนิทของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจากับทางกองปราบให้โดยเรียกรับเงินจำนวน 65,000 บาท ให้กองปราบยอมรับคดีแต่มาถึงขนาดนี้คดียังคงไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
ในวันนี้จึงเดินทางมาร้องขอให้ทางสื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าวเพื่อเป็นกระบอกเสียงกระตุ้นการทำงานของตำรวจ เพื่อติดตามคดีของตนเองทั้งเรื่องของการถูกยึดยึดตลาด และคนจีนที่สวมบัตรคนไทย