วันพฤหัสบดี, กันยายน 19, 2024
หน้าแรกต่างประเทศจีนจีนครองแชมป์ลงทุน กลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง

Related Posts

จีนครองแชมป์ลงทุน กลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยว่า การลงทุนของจีนในเวียดนามเติบโตขึ้นอย่างมากในปีนี้ ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามระบุว่า ยอดการลงทุน (Registered Investment) จากจีนและฮ่องกงรวมกันเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 มากกว่า 2 เท่าจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนดำเนินมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างเข้มงวด ด้วยเหตุนี้ จีนและฮ่องกงจึงเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ในทางกลับกัน ยอดการลงทุนของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 0.5 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ จากระดับ 0.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2565 ส่งผลให้สหรัฐกลายเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับที่ 10 ตามหลังประเทศอื่น ๆ เช่น ซามัวและเนเธอร์แลนด์ โดยจีนมีเป้าหมายกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีกับเวียดนามให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ขณะที่การลงทุนของจีนในกัมพูชา ยังคงครองแชมป์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI อันดับ 1 ในกัมพูชาในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ โดยมีสัดส่วน 73.5% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด จากการเปิดเผยของสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (Council for the Development of Cambodia-CDC) ได้เปิดเผยสถิติที่เกี่ยวข้องส่วนหนึ่งใน การประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจกัมพูชา-จีน Cambodia-China Business Leaders’ Summit เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม โดย CDC ได้อนุมัติโครงการลงทุน 65 โครงการระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน โดยมีทุนชำระแล้วทั้งสิ้น 588 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนมีสัดส่วนประมาณ 60% หรือคิดเป็น 73.5% ของ FDI ในขณะที่ปี 2565 ที่ผ่านมา CDC ได้อนุมัติโครงการลงทุนใหม่ 186 โครงการและการขยายโครงการที่มีทุนชำระแล้วมูลค่ารวม 4 พันล้านดอลลาร์ โดยจีนมีสัดส่วน 42% ซึ่งคิดเป็น 90.5% ของ FDI ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า FDI จากจีน มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมืองกัมพูชา ผ่านทางการไหลเข้าของเงินลงทุน การกระจายการส่งออกและการเติบโต การเพิ่มรายได้ของรัฐ เทคโนโลยี การถ่ายทอด การพัฒนาทักษะ การจัดตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรม การเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจในท้องถิ่น และการส่งเสริมความเชื่อมโยง ตลอดจนการบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก

สำหรับประเทศไทย รายงคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ระบุว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 2,119 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และมีเงินลงทุน 664,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 นับว่าเป็นมูลค่าที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด ในส่วนคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีมูลค่า 433,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 36 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยจีนมีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด 77,381 ล้านบาท รองลงมาเป็นญี่ปุ่น มูลค่า 50,767 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา มูลค่า 50,296 ล้านบาท ไต้หวัน 45,215 ล้านบาท และสิงคโปร์ 44,286 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่คำขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน 2566) มีโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุน 1,555 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 31 และมูลค่าเงินลงทุน 516,802 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 หลังจากรัฐบาลมีนโยบายเปิดรับการลงทุนครั้งใหญ่ กลุ่มทุนต่างชาติหลายรายยังเดินหน้าลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซัมซุง, เคียวเซร่า เอวีเอ็กซ์, โตชิบา เซมิคอนดัคเตอร์, โซนี่ เทคโนโลยี และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยผู้ผลิต 3 รายล่าสุดที่เพิ่งได้รับอนุมัติเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือ ฉางอัน, ไอออน และโฟตอน บริษัทเหล่านี้ให้ความเชื่อมั่นและเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในอาเซียน สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีจำนวน 910 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 49 เงินลงทุน 398,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 โดยโครงการจากจีนมีเงินลงทุนมากที่สุด 97,464 ล้านบาท รองลงมาสิงคโปร์ 80,261 ล้านบาท และญี่ปุ่น 43,154 ล้านบาท ตามลำดับ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts