“….ผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายเมื่อปี 2565 และได้มีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วแต่คดีไม่คืบหน้า รายนี้ถูกทำร้ายหนัก ถูกบีบคอจนสลบ ถ้าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับนายโบ้ตั้งแต่ได้รับแจ้งความ น้องแพรวก็คงไม่เสียชีวิต เพราะจากคำบอกเล่า นายโบ้มีอาการย่ามใจเพราะคิดว่าได้ทำร้ายร่างกายมาถึงสองคนแต่ก็ยังไม่ถูกดำเนินคดี เคราะห์กรรมจึงไปตกที่น้องแพรว ตนจึงฝากเจ้าที่ตำรวจว่าอย่าปฏิเสธความรับผิดชอบ ต้องดำเนินคดีกับนายโบ้จนถึงที่สุด ผู้ต้องหาเวลากระทำความผิดจะได้หลาบจำ แต่เพราะว่าการแจ้งความที่ผ่านมาของผู้เสียหายทั้งสองรายไม่มีความคืบหน้า ผู้ต้องหาจึงฮึกเหิมไม่เกรงกลัวกฎหมาย…”
เรื่องราวของผู้ต้องหา ซ้อมเมียจนตายคามือ โดยนายธนวัฒน์ เฉลยพบ หรือ โบ้ อายุ 34 ปี เป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายนางสาวเพ็ชรรัตน์ หรือ แพรว พีอาร์สาว วัย32 ปี แฟนสาวจนเสียชีวิต เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.บางศรีเมือง จ.นนทบุรี ได้ถูกตำรวจจับกุมตัว เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พร้อมกับคัดค้านการประกันตัว
โดยล่าสุดมีผู้เสียหายอีก 2 คนเข้าร่วมแจ้งความเพื่อเอาผิดนายโบ้อีกด้วย โดยเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 ม.ค. ที่ กระทรวงยุติธรรม นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และในฐานะที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย พาผู้เสียหาย 2 ราย ซึ่งเคยเป็นอดีตแฟนสาวของนายธนวัฒน์ เฉลยพบ หรือนายโบ้ อายุ 34 ปี ประกอบด้วย
-น.ส.อภิญญา คงวารี อายุ 39 ปี เกิดเหตุในพื้นที่ สภ.บางแม่นาง จ.นนทบุรี
-น.ส.ชุติมา โรจันทึก อายุ 32 ปี เกิดเหตุในพื้นที่ สน.ประชาชื่น
ซึ่งผู้เสียหายทั้ง 2 คน ได้ประสานมายังเพจสายไหมต้องรอด ขอเข้ายื่นเรื่องรับการคุ้มครองพยานจากกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากเกรงว่าหากนายโบ้ได้รับการประกันตัวในชั้นศาลอาจจะถูกนายโบ้หวนกลับมาทำร้ายจนถึงแก่ความตายเหมือนกับน้องแพรวที่เสียชีวิต โดยมีนายปริญญ์วัฒน์ เปี่ยมปิ่นวงศ์ หัวหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข และ น.ส.จิฬาภรณ์ ตามชู กฤษณสุวรรณ ผอ.สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กระทรวงยุติธรรม เป็นตัวแทนรับเรื่อง
คดีน.ส.อภิญญา คงวารี (ผู้เสียหาย) เกิดที่ สภ.บางแม่นาง จ.นนทบุรี ผู้เสียหาย เล่าว่า ตนได้คบหากับนายโบ้เมื่อเดือน ม.ค.65 ระหว่างที่คบหากัน นายโบ้มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงอย่างเดียว หากทำอะไรไม่ถูกใจก็จะถูกใช้ความรุนแรง บางครั้งคล้ายว่านายโบ้เป็นคนโรคจิต เขามักตบ ตี ต่อย ทั้งยังบีบคอตนจนสลบ และถึงแม้ว่าสลบไปแล้วก็ยังถูกตบหน้าให้ฟื้นขึ้นมาอีก ซึ่งพฤติกรรมความรุนแรงของนายโบ้เป็นตั้งแต่ช่วงคบหากันแรกๆ โดยตนกับนายโบ้คบหากันมา 8 เดือน แม้พยายามเลิกลาแต่เจ้าตัวยังคงตามง้อและตามราวี ยิ่งถ้าหากพบว่าตนมีการแชตข้อความคุยกับใคร นายโบ้ก็จะเอาโทรศัพท์ไปพิมพ์ตอบข้อความแทน
ส่วนเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุดคือเมื่อเดือนสิงหาคม 65 นายโบ้บีบคอตนจนสลบ และตบหน้าตนจนฟื้น สาเหตุเพียงเพราะว่าตนไม่ยินยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วย จึงถูกทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ นายโบ้เคยพยายามบุกไปยังบ้านพักของแม่และน้องสาวตน รวมถึงจะทำร้ายร่างกายครอบครัวของตนด้วย มีการพยายามพังประตูและใช้มีดแทงเข้าไปภายในห้อง แต่แม่ตนหลบทันจึงไม่เป็นอันตราย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนเคยไปแจ้งความแค่ในส่วนที่ครอบครัวเกือบถูกทำร้ายร่างกาย แต่ในส่วนที่ตัวเองโดนกระทำ ตนไม่ได้แจ้งความเพราะว่าถูกนายโบ้ข่มขู่ หากแจ้งความก็จะถูกทำร้ายร่างกายอีก ส่วนสาเหตุที่ทำให้หนีพ้นออกมาได้เพราะว่าตนไปหลบซ่อนอยู่ที่บ้านแฟนเก่า นายโบ้จึงไม่ตามมาราวี
น.ส.อภิญญา กล่าวอีกว่า นายโบ้เป็นบุคคลเหมือนมีอารมณ์สองขั้ว เวลาดีก็ดีสุดจะตามใจตนทุกอย่าง แต่ถ้าอารมณ์ร้ายก็เอาไม่อยู่ ยอมรับว่าตลอดเวลาการคบหากันนาน 8 เดือนค่อนข้างทุกข์ทรมานมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ในวันนี้ตนต้องลุกขึ้นมาเพราะเราเห็นว่าเขาไปฆ่าคนตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะโดนพฤติกรรมเช่นเดียวกับที่ตนเคยโดน และเคยคิดว่าเขามีอาการทางจิต เคยสอบถามว่าทำไมไม่ไปรักษาแต่เขาก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็นโรคจิต และไม่ได้เสพยาเสพติด ดังนั้น ตนจึงกังวลว่าหากนายโบ้ได้รับการประกันตัวในชั้นศาล อาจกลับมาทำร้ายร่างกายได้ จึงขอให้ทางกระทรวงยุติธรรมช่วยคุ้มครองความปลอดภัย
อีกคดีที่ สน.ประชาชื่น กองบัญชาการตำรวจนครบาล น.ส.ชุติมา โรจันทึก ผู้เสียหาย กล่าวว่า การสอบปากคำจากเจ้าที่ตำรวจล่าสุดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ตนเพียงกังวลความปลอดภัยหลังจากนี้และมีอาการนอนไม่หลับ กลัวว่านายโบ้จะกลับมาทำร้ายซ้ำ หากเขาได้รับการประกันตัวชั่วคราวในชั้นศาล สำหรับพฤติกรรมที่ผ่านมาระหว่างคบหากันตนเคยโดนเขากล้อนผม มีการโทรศัพท์ตามราวีหากจะเลิกรา และยังมีการบุกไปตามหาตนที่จังหวัดลพบุรีด้วย
อย่างไรก็ตาม พอเห็นว่านายโบ้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนจึงรู้สึกดีขึ้น แต่สิ่งที่ตนอยากได้คือการเป็นอิสระ ตนอยากหย่า เพราะใบทะเบียนสมรสยังคงอยู่กับตัว และไม่อยากอยู่ท่ามกลางความหวาดระแวงอีกต่อไป ส่วนที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ที่ตนเคยเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายโบ้เคยกล่าวกับตนว่า การแจ้งความไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ถ้าคดีไม่ดังก็ทำอะไรไม่ได้
ทางด้าน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากน้องแพรวที่เสียชีวิตไปแล้ว อีก 2 รายซึ่งเป็นแฟนเก่าของนายโบ้ โดยรายแรก คือ น.ส.อภิญญา คงวารี อายุ 39 ปี เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.บางแม่นาง จ.นนทบุรี ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายเมื่อปี 2565 และได้มีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วแต่คดีไม่คืบหน้า รายนี้ถูกทำร้ายหนัก ถูกบีบคอจนสลบ
ส่วนอีกราย คือ น.ส.ชุติมา โรจันทึก อายุ 32 ปี เหตุเกิดในพื้นที่ สน.ประชาชื่น ซึ่งถูกทำร้ายหนักจนต้องวิ่งแก้ผ้าหนีออกมา โดยในเคสนี้ทาง ผกก.สน.ประชาชื่น ได้มีการดำเนินคดีแล้วและได้ส่งหนังสือขออายัดตัวนายโบ้เรียบร้อย ซึ่งน้องผู้เสียหายทั้งสองคนมากระทรวงยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับตัวเองและน้องแพรว เพราะถ้าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับนายโบ้ตั้งแต่ได้รับแจ้งความ น้องแพรวก็คงไม่เสียชีวิต
เพราะจากคำบอกเล่า นายโบ้มีอาการย่ามใจเพราะคิดว่าได้ทำร้ายร่างกายมาถึงสองคนแต่ก็ยังไม่ถูกดำเนินคดี เคราะห์กรรมจึงไปตกที่น้องแพรว ตนจึงฝากเจ้าที่ตำรวจว่าอย่าปฏิเสธความรับผิดชอบ ต้องดำเนินคดีกับนายโบ้จนถึงที่สุด ผู้ต้องหาเวลากระทำความผิดจะได้หลาบจำ แต่เพราะว่าการแจ้งความที่ผ่านมาของผู้เสียหายทั้งสองรายไม่มีความคืบหน้า ผู้ต้องหาจึงฮึกเหิมไม่เกรงกลัวกฎหมาย
และที่สำคัญผู้เสียหายทั้งสองรายนี้พร้อมต่อสู้จะเอาผิดนายโบ้ให้ถึงที่สุด แต่หวั่นเกรงว่าหากนายโบ้ได้รับการประกันตัวอาจกลับมาทำร้ายทั้งคู่ได้ จึงทำเรื่องขอรับการคุ้มครองพยานและดูแลเรื่องเงินเยียวยาค่าเสียหายพร้อมขอให้ติดตามความคืบหน้าทางคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
จากคดีการตบตีระหว่างผัวเมีย ของคน 2 คน ที่ดูเหมือนจะเป็นคดีเล็กน้อย พอขึ้นโรงพักเพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีเอาผิดฝ่ายชายที่มีความโหดร้าย พอมาถึงโรงพัก ผู้ต้องหาจากคราบหมาป่า หมาบ้าขย้ำเหยื่อ ก็สยบ เรียบร้อยต่อหน้าตำรวจ เพราะหากขืนสำแดงสันดานดิบออกมาเหมือนเดิมก็คงจะไม่รอดจากการถูกดำเนินคดีแน่นอน ก็อาจจะแอบหมอบกราบกราน เป็นหมาหงอย หมาเชื่อง เพื่อให้เรื่องราวของความโหดร้าย เบาลง ทุเลาลง ตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ
และหากพนักงานสอบสวนหลงกล หลงเชื่อ คิดว่าแค่เรื่องครอบครัว แค่ปัญหาครอบครัว เดี๋ยวความโกรธความโหดร้ายของผู้กระทำคงจะลดน้อยลง คงจะสำนึกผิด ยอมรับผิด แค่หาทางไกล่เกลี่ยให้ยอมความแล้วลงจากโรงพักไป ปัญหาก็จบสิ้น
ต้องถามว่า ข้อเท็จจริงเรื่องราวอย่างนี้มันได้จบสิ้นไปจริงๆหรือ เพราะผู้เสียหาย ที่ต้องถูกซ้อม ถูกทำร้ายแสนสาหัส เมื่อหวังพึ่งตำรวจ ก็หวังให้ดำเนินคดีตามความผิด ตามความสาหัสที่ถูกทำร้าย คดีจะรุนแรงแค่ไหน ก็อยู่ที่ดุลพินิจของพนักงานสอบสวน น่าจะดูจากร่องรอยบาดแผล ส่งให้หมอตรวจ แล้วดำเนินคดี เพื่อให้เกิดความหลาบจำ อีกทั้งการทำร้ายร่างกายกันนั้นเป็นคดีอาญาแผ่นดินที่ยอมความกันไม่ได้
การยอมความด้วยการไกล่เกลี่ย ให้จับมือกัน สวมกอดกัน ดีต่อกันเพียงแค่ต่อหน้าตำรวจบนโรงพัก จึงไม่จบได้ง่ายในข้อเท็จจริง
ปัญหาเล็กๆ อย่ามองว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่ควรเป็นคดีในสำนวนคดี เสียเวลาทำสำนวนคดี .. เพราะสักวันเรื่องเล็กๆอย่างนี้แหละจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสันดานคนโหดร้าย มันจะย่ามใจ แล้วทำอีกเรื่อยๆ ที่สุดไม่ฝ่ายใด ก็ฝ่ายหนึ่งต้องตายไป เพราะอารมณ์ดิบมันจะระเบิดออกมาจนถึงขั้นฆ่ากันตาย .. เพราะการไม่สนใจแก้ปัญหาเล็กๆ มองแต่ปัญหาใหญ่นี่เอง!!!
#สืบจากข่าว รายงาน