จีน-ไทย เดินหน้ากระชับสัมพันธ์ ยกระดับท่องเที่ยวกลับสู่ยุคทอง ขณะที่ภาคการลงทุน ชุมชนธุรกิจของจีนได้แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย พบปะ หวังอี้ ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน เพื่อร่วมการประชุมหารือประจำปี ณ กรุงเทพฯ ในวันอาทิตย์ (28 ม.ค.) นอกเหนือจากการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหรือวีซ่าฟรีระหว่างกัน ยังได้พุดคุยในเรื่องอื่นๆ โดยไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถานะหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างไทยกับจีน รวมถึงการกระชับความร่วมมือฉันมิตรกับจีน เพราะไม่เพียงสอดคล้องกับผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ แต่ยังสำคัญต่อสันติภาพและเสถียรภาพของโลกด้วย ซึ่งไทยยึดมั่นในหลักการจีนเดียว และไม่มีการแลกเปลี่ยนระดับทางการใดๆ กับไต้หวัน
ขณะที่ หวังอี้ กล่าวว่าจีนและไทยเป็นครอบครัวเดียวกัน จีนยินดีที่จะให้ความสำคัญกับการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน ซึ่งเป็นประชาคมที่มีเสถียรภาพ เจริญรุ่งเรือง และยั่งยืนยิ่งขึ้น รวมถึงเสริมสร้างความร่วมมือเชิงปฏิบัติหลากหลายด้าน เพิ่มมิติใหม่ๆ ให้กับความสัมพันธ์ทวิภาคีอยู่เสมอ และเนื่องจากปีหน้าเป็นวาระครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย ทั้งสองประเทศจะได้พบกับโอกาสใหม่ๆ และควรลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในห้วงยามแห่งการพัฒนาความทันสมัยของตน รวมถึงการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน
สำหรับบรรยากาศการท่องเที่ยวภายหลังการลงนามฟรีวีซ่า นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยปีนี้น่าจะสามารถจบปีที่อันดับ 1 ได้ โดยคาดว่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากในปี 2566 ที่มีจำนวน 3.5 ล้านคน เนื่องจากจังหวะการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย น่าจะมีศักยภาพที่จะเร่งตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง เพื่อกลับไปสี่ช่วงก่อนโควิดที่มีจำนวนราว 11 ล้านคน ประกอบกับทางการจีนประเมินว่าเส้นทางการบินระหว่างประเทศจากจีนและประเทศต่างๆ จะฟื้นตัวกลับมาราว 80% เมื่อเทียบกับก่อนโควิด นอกจากนี้ Fliggy แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านการท่องเที่ยวในจีน ระบุว่า ปริมาณการค้นตั๋วเครื่องบินมายังไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าทันทีหลังมีข่าวมาตรการฟรีวีซ่าถาวร
ขณะที่สถานการณ์การลงทุน จีนยังถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในไทย โดยเฉพาะการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ตัวเลขการขอส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในปี 2566 มีกลุ่มนักลงทุนจากประเทศจีนมาเป็นอันดับ 1 จากเดิมเป็นญี่ปุ่น ยิ่งทำให้ไทยมีความสมดุลในเรื่องของการลงทุนมากขึ้น และ สะท้อนได้ว่า จีนมองไทยเป็นทั้งคู่ค้าที่สำคัญ และ เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจต่างๆ ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2566) มีโครงการที่ต่างชาติยื่นขอรับการส่งเสริมฯ รวมทั้งสิ้น 891 โครงการ เพิ่มขึ้น 18% และมีมูลค่าเงินลงทุน 364,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% โดยนักลงทุนจากจีน สูงเป็นเบอร์ 1 ด้วยมูลค่าเงินลงทุน 61,526 ล้านบาท จาก 132 โครงการ ส่วนใหญ่ลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าการลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท
Global Times สื่อของทางการจีน รายงานอ้างอิงความเห็นของนักวิเคราะห์ในจีนและไทย โดยระบุว่า ทั้งหมดต่างเห็นตรงกันว่าการลงทุนของจีนในไทยปี 2024 จะยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดระลอกใหม่ หลังจากที่จีนกลายเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของไทยในช่วงปีที่ผ่านมา รายงานระบุว่า นับตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมาพบบริษัทจดทะเบียนระดับ A-Share สัญชาติจีนอย่างน้อย 14 แห่ง ได้ประกาศว่าจะจัดตั้งสาขา สร้างโรงงานใหม่ ขยายโรงงานที่มีอยู่ หรือเพิ่มทุนในประเทศไทย ท่ามกลางกระแสการลงทุนของจีนที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือ ZYNP Corp ผู้ผลิตส่วนประกอบเครื่องยนต์สันดาปจากมณฑลเหอหนาน ทางตอนกลางของจีน ที่ออกมาเปิดเผยเมื่อวานนี้ (3 มกราคม) ว่า บริษัทกำลังลงทุน 210 ล้านหยวนเพื่อสร้างฐานการผลิตในประเทศไทย
ขณะที่ Circuit Fabology Microelectronics Equipment Co Ltd บริษัทแผงวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board: PCB) ที่ตั้งอยู่ในมณฑลอันฮุย ทางตะวันออกของจีน ก็ประกาศในวันเดียวกันว่า บริษัทกำลังลงทุน 100 ล้านหยวนในประเทศไทย เพื่อจัดตั้งสาขา ซื้อที่ดิน และสร้างโรงงาน
สวีเกินหลัว รองประธานบริษัท อมตะ คอร์ป ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย แสดงความเห็นว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาบรรดาชุมชนธุรกิจของจีนได้แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในการลงทุนในประเทศไทย โดยมีคณะผู้แทนธุรกิจส่วนหนึ่งต่างทยอยเข้ามาเยี่ยมชมในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครของตนอย่างไม่ขาดสาย