“…การทำงานของ ส.ป.ก.ครั้งนี้มีปมพิรุธหลายข้อ ประการแรกการปักหมุด ส.ป.ก.ในป่าเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติอันเป็นมรดกโลกครั้งนี้ ทำไมถึงแอบทำแบบเงียบเชียบ ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติเจ้าของพื้นที่ทราบเลย แอบปักหมุด กำหนดแนวเขตทำโดยพลการได้อย่างไร? มีใครระดับสูงกว่านี้แอบสั่งการหรือไม่? ใช้นาจหน้าที่โดยมิชอบหรือเปล่า? อีกทั้งพอปักหมุด ส.ป.ก.แล้ว กำหนดรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิไปพร้อมๆ กันเลย ทำอย่างนี้ได้หรือ? นี่ถ้าไม่ได้ทีมงานพญาเสือ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หูไว ตาไว และกล้าชน แลกด้วยเดิมพันตำแหน่งข้าราชการ ที่ดินเขาใหญ่เกือบ 3,000 ไร่ แปลงนี้ ..อาจจะผุดรีสอร์ท โรงแรมหรู หรือเป็นอาณาจักรของนัการเมืองในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน.. ไม่ใหญ่จริงใช้ข้าราชการ ใช้อำนาจรัฐ ทำอย่างนี้ไม่ได้แน่นอน..”
กรณี นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ ออกมายืนยันกรณีหมุดนิรนาม ส.ป.ก. รุกเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ว่า “เป็นขบวนการ ยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ โดยเจตนา” หลังทำรายงานชี้แจง พร้อมเปิดภาพแฉยับ มีความพยายามจะยึดพื้นที่ป่าเขาใหญ่กว่า 2,933 ไร่ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เขาใหญ่ตรวจพบพื้นที่บุกรุกแผ้วถางป่าประมาณ 3 ไร่ กำลังปรับดินปลูกต้นมะม่วง ตรวจสอบพื้นที่เจอหลักหมุด ส.ป.ก. 3 หมุด แต่ไม่พบคนกระทำผิด เจ้าหน้าที่จึงติดกล้องดักสักสัตว์จับภาพเคลื่อนไหวปรากฏว่า 3 วันต่อมา มีคน 5 คน เข้ามารดน้ำต้นมะม่วง จึงแสดงตัวเข้าจับกุม แต่ชายทั้ง 5 อ้างว่าที่ดินนี้ได้มาถูกต้องตามกฎหมายเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ซึ่ง 1 ในนั้น แสดงตัวเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่อุทยานงงมากว่า อยู่ๆ จะมีหมุดของ ส.ป.ก. มาปักในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้อย่างไร
เจ้าหน้าที่อุทยานจึงได้มีการสอบถาม นายกิติศักดิ์ พรหมพินิจ ผู้ใหญ่บ้านเหวปลากั้ง หมู่ที่ 10 ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งให้คำตอบว่า ส.ป.ก. จะประกาศชื่อ ผู้มีสิทธิ์ได้ที่ทำกินในเขต ส.ป.ก. จำนวน 3 ชื่อ ซึ่งตรวจสอบแล้วไม่ใช่คนในหมู่บ้าน ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน จึงมาสอบถามที่อุทยานเขาใหญ่ ทางอุทยานก็ไม่ทราบ จึงไปหาข้อมูลที่ ส.ป.ก.โคราช ปรากฏว่าไม่มีความชัดเจนว่า 3 คนที่ประกาศรายชื่อครอบครองที่ดินนี้เป็นใคร และจะได้ที่ดินตรงไหน ทำผู้ใหญ่บ้านเกิดความสับสนว่า เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
แถมต่อมามีคนแอบประกาศ ชื่อ ผู้มีสิทธิ์ในที่ดิน ส.ป.ก. อีกฉบับ แต่คราวนี้ ประกาศชื่อ เดิม คือ 3 คน ที่ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้จัก และมีชื่อเพิ่ม มาอีก 2 คน ก็ไม่รู้จักเช่นกัน ประกาศนี้ทางผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ไม่มีใครเคยเห็นเลย ผ่านไป 30 วันจึงไม่มีคนคัดค้านตามกฎหมาย นั่นหมายความว่าออก ส.ป.ก.ได้ ดังนั้นจึงมีหมุด ส.ป.ก. มาปักในเขตอุทยานฯ เขาใหญ่เพิ่มอีก หัวหน้าอุทยานฯ เขาใหญ่ ได้ทำหนังสือสอบถามไปยัง ส.ป.ก.โคราช ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ไม่มีคำตอบ
เรื่องนี้มาถึงมือ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร แห่งสำนักอุทยานฯ ทีมพญาเสือ จึงได้ส่งทีมงาน เดินปูพรมเข้าตรวจสอบก็พบว่า มีหมุดของ ส.ป.ก.มาปักในเขตอุทยานฯ เขาใหญ่ถึง 27 หมุด และยังมีป้าย มาประกาศแสดงความเป็นเจ้าของ มีรูป เอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. ชัดเจน มีชื่อเจ้าของสิทธิ์ และ ชื่อ เจ้าหน้าที่ลงนามชัดเจนด้วย เป็นความผิดปกติชัดเจนมาก
นายชัยวัฒน์ ถึงกับพูดออกมาว่า หมุดนิรนามของ ส.ป.ก. ที่รุกเขาใหญ่นี้ “เป็นขบวนการ ยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ โดยเจตนา” พร้อมทั้งทำรายงานชี้แจง ว่ามีความพยายามจะยึดพื้นที่ป่าเขาใหญ่กว่า 2,933 ไร่ พร้อมเปิดภาพแฉยับ ถึงขบวนการทำผิดกฏหมายครั้งนี้
นายชัยวัฒน์ จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่รื้อถอนหลักหมุดเขต ส.ป.ก 27 หมุด เสาหลักเขต จำนวน 5 ต้น และรื้อถอนต้นมะม่วงที่เพิ่งปลูก จำนวน 20 ต้น พร้อมทำบันทึกการตรวจยึด แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อสืบสวนสอบสวนและนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ทั้งนี้ตลอดเส้นทางที่เดินถอนหมุด ส.ป.ก. ก็พบ ร่องรอยของช้าง และกระทิงตลอดทาง เป็นเหตุให้ยิ่งสงสัยว่า จะมีใครกล้ามาทำกินในพื้นที่นี้ได้
ขณะเดียวกัน ทีมพญาเสือ ได้ตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์ของสำนักจัดการแผนที่และสารบบที่ดิน พบว่ามีการกำหนดพื้นที่สำหรับการปฏิรูปที่ดิน (เส้นสีเขียวที่ตีผังในแผนที่) มากถึง 2,933 ไร่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่แล้ว มีการตีเป็นรูปแปลงเพื่อออกเอกสาร ส.ป.ก.4-01 ถึง 42 แปลง เนื้อที่ประมาณ 972 ไร่ และยังพบรายชื่อบุคคลผู้ได้รับคัดเลือกให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) พบว่าไม่ใช่ผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก ซึ่งไม่เข้าข่ายการเป็นเกษตรกร จึงสอบถามไป ส.ป.ก. จ.นครราชสีมา อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้คำตอบเช่นเดิม
ต่อมาตอนบ่ายของวันที่ 13 ก.พ. 67 ได้เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าจังหวัดนครราชสีมา (คปป.จ.นม.) ครั้งที่ 1/2567 ณ ห้องประชุมหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา มี นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รอง ผวจ.นครราชสีมา เป็นประธานในการประชุม จึงเกิดเหตุการปะทะคารมณ์ระหว่าง นายชัยวัฒน์ กับ ส.ป.ก.โคราช กลางที่ประชุม ณ ศาลากลาง จ.นครราชสีมา ถามชัดๆ ถึงเหตุที่ มีหมุด ส.ป.ก. มาโผล่ในพื้นที่อุทยานฯเขาใหญ่ โดยไม่มาสอบถามใดๆ ถามไปก็ไม่ตอบ ไปเอาคนไหนมาถือสิทธิ์ในเขตป่า พร้อมโชว์แผนที่ตีแปลงสีเขียวทับเขตป่าสมบูรณ์ให้ดูกันชัดๆ ซึ่งทาง นายจีรศักดิ์ นายช่างรังวัด ก็พยายามอธิบายว่า มันเป็นมติของ ครม.ให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกร โดย ส.ป.ก. เป็นผู้ดำเนินการแต่ก็ตอบไม่ได้ว่า หมุดที่ นายชัยวัฒน์ ถอนมานั้นช่างคนไหนไปปัก ปัก ณ จุดใด รุกป่าหรือไม่ ขอสอบสวนก่อน
ด้าน นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นประธาน ก็พยายามหาทางออกให้ตั้งกรรมการชุดเล็กตรวจสอบเรื่องนี้ และขอให้ ส.ป.ก.ยุติการทำงานชั่วคราวจนกว่าความจริงจะปรากฏ แต่ นายชัยวัฒน์ ประกาศไม่รอ บอกตนแจ้ง ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว ให้ทาง ส.ป.ก.โคราช ไปชี้แจงที่ศาลแล้วกัน การประชุมเกิดการปะทะคารมณ์กันดุเดือด โดยมีรองผู้ว่าฯ เป็นกรรมการบนเวที คอยห้าม ถกกันนานเกือบชั่วโมงก็ได้ข้อสรุปว่า “ให้ ส.ป.ก. จ.นครราชสีมา หยุดกระทำการใดๆ ในบริเวณพื้นที่พิพาท และให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน” ขณะเดียวกันการสอบสวนของ ป.ป.ช. ก็ดำเนินไปคู่ขนานด้วยความจริงจะได้ปรากฏเร็ว
แต่ในเวลานั้น นายชัยวัฒน์ อารมณ์ได้ปะทุมาถึงจุดเดือดแล้ว ถึงกับประกาศว่าผมไม่อยากจบ ผมอยากมีเรื่อง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมตะลึง เงียบกันหมด “ไม่เป็นไรครับ ผมอยากมีเรื่องครับ จริงๆ ครับ ผมอยากมีเรื่องจริงๆ ผมพูดตรงๆ ครับ เพราะว่าทำแบบนี้มันไม่จบครับ ถ้าทำแบบนี้เคยตัวครับ ลูกน้องผม ไม่ว่าจะเป็นใคร ดูแลรักษาป่าน่ะเสี่ยงตายอยู่แล้ว แต่มาเจอกระบวนการของรัฐ ทำแบบนี้ไม่ได้ กระบวนการนี้ไม่ใช่เล็กๆ นะครับ มีมากกว่าที่ท่านประธานพูด คนๆ เดียวทำไม่ได้ครับ และไม่ใช่คนกลุ่มเดียวจะทำได้นะครับ มันมีมากกว่าคน 2 กลุ่ม 3 กลุ่ม มากมายเกินไปครับ หากจะแจ้งความผม ว่าผมลักทรัพย์ท่าน ก็เอาเลยครับ แต่วันนี้ผมแจ้งความดำเนินคดีย้อนหลังทุกราย ผมยินดีที่จะไปสู้กับท่านในศาล แต่ท่านก็ต้องเอาแบบนี้นะครับ วันนี้ไม่หยุดครับ ผมเรียนท่านประธานว่า มันไม่ไหวแล้วครับ ถ้าทำกันแบบนี้ ทุกคนก็มีหน้าที่ต้องปกป้อง ทุกคนอยู่ตาม พ.ร.บ.กรมอุทยาน แต่จะมาอ้างว่ามันไม่ได้อยู่ในพื้นที่ป่าสงวน ในพื้นที่ป่าไม้ถาวร สามารถดำเนินการได้ มันไม่ใช่นะครับ ถ้าเป็นป่า ท่านจะเอาใครไปอยู่ในป่าก็ไม่ได้ จะอยู่ในพื้นที่ที่ท่านไปขีดเขต ว่าเป็น ส.ป.ก. มาก่อนก็ไม่ได้ ถ้ามันเป็นพื้นที่ป่า…ต้องมีสำนึกครับ จะมาบอกว่าเป็นป่าสงวน ต้องผ่านมติอย่างโน้นอย่างนั้น ไม่ใช่ครับ สำนึกเท่านั้นครับที่ท่านต้องคิด จะเป็นป่าดีๆ จะเป็นป่าถาวร ป่าไม้ถาวร ป่า 2484 ท่านก็ไม่มีสิทธิจะเอาใครไปอยู่ในป่า ถูกไหมครับ จะมาบอกอย่างโน้นอย่างนี้ก็ไม่ได้ครับ ต้องมีสำนึกครับว่า มันเป็นป่าธรรมชาติ…”
ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า การทำงานของ ส.ป.ก.ครั้งนี้มีปมพิรุธหลายข้อ ประการแรก การปักหมุด ส.ป.ก.ในป่าเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติอันเป็นมรดกโลกครั้งนี้ ทำไมถึงแอบทำแบบเงียบเชียบ ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติเจ้าของพื้นที่ทราบเลย แอบปักหมุด กำหนดแนวเขตทำโดยพลการได้อย่างไร? มีใครระดับสูงกว่านี้แอบสั่งการหรือไม่? ใช้นาจหน้าที่โดยมิชอบหรือเปล่า?
อีกทั้งพอปักหมุด ส.ป.ก.แล้ว กำหนดรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิไปพร้อมๆ กันเลย ทำอย่างนี้ได้หรือ?
ขอให้ผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ได้ตรวจสอบการดำเนินงานของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ที่ดำเนินการออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตของเจ้าหน้าที่หรือไม่? ต้องหาความจริงมาให้ได้
นี่ถ้าไม่ได้ทีมงานพญาเสือของ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หูไว ตาไว และกล้าชน แลกด้วยเดิมพันตำแหน่งข้าราชการ ที่ดินเขาใหญ่เกือบ 3,000 ไร่ แปลงนี้ ..อาจจะผุดรีสอร์ท โรงแรมหรู หรือเป็นอาณาจักรของนัการเมืองในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน.. ไม่ใหญ่จริงใช้ข้าราชการ ใช้อำนาจรัฐ ทำอย่างนี้ไม่ได้แน่นอน!!!
#สืบจากข่าว รายงาน