ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กับพวก ผิดตาม ม. 157 เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่มีการรับคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปทำเอง และมีการเรียกคดีของ พันตำรวจเอก ภาคภูมิ พิศมัย กลับมาจากอัยการกลับมาทำอีก ซึ่งเชื่อว่านี่คือการช่วยเหลือ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กับพวก และ นางสาวสุภา กับ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ มีความสนิทสนมกันส่วนตัว ในคดีที่มีการไต่สวนภาครัฐ 1 ที่ิอยู่ในความดูแลของ นางสาว สุภา จะไม่มีการชี้มูลความผิด พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ เลย ส่วนคนที่ถือครองทรัพย์สินของ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ คาดว่าจะมีการออกหมายเรียกในฐานะผู้ต้องหา ฐานฟอกเงิน ส่วนความสัมพันธ์ของ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กับ นางสาว สุภา ขณะนี้ พลตำรวจเอก ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ ได้มีการตั้งคณักรรมการสอบความสัมพันธ์แล้ว
อีก 1 ประเด็น คือ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำความลับทางราชการเป็นภาพกล้องวงจรปิดไปที่บ้านกำนันนกไปเผยแพร่ ที่ความลับในสำนวน ที่ไม่สามารถไปเปิดเผยภายนอกได้ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ถือว่ามีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164 เปิดเผยความลับทางราชการ ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งหลักฐานส่วนนี้ทำให้พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง มาตรา 157 ตำรวจหลายนาย และผู้ต้องหายังสามารถใช้ภาพตรงนี้สู้คดีได้อีกด้วย อีกทั้งการเผยแพร่ภาพดังกล่าวไม่ได้รับมอบจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งภาพกล้องวงจรปิดควรจะเป็นความลับในสำนวนคดี
ส่วนกรณีที่พบว่า นายสุรเชษฐ์ มีการฟอกเงินจากการขายพระนั้น นายอัจฉริยะ อ้างว่า ทราบมาว่า พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ เป็นนายหน้าให้ระหว่างอดีตข้าราชการกับเซียนขายพระชื่อดังย่านเมืองชล โดยได้รับค่านายหน้ามาประมาณกว่า 10 ล้านบาท ก่อนจะนำเงินไปซื้อปืน ซึ่งเรื่องนี้ตนจะยื่นเรื่องให้กับสรรพากร ในวันที่ 22 มีนาคมนี้ เพื่อให้ตรวจสอบถึงเส้นเงินส่วนนี้ว่ามีการเสียภาษีด้วยหรือไม่