วันนี้เวลา 11.00 น.นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เดินทางมายัง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อนำข้อมูลขบวนการรับส่วยและเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำมาให้กับพลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้วรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
โดยพลตำรวจตรีจรูญกล่าวว่าวันนี้ ได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากนี้จะส่งพยานหลักฐานที่ได้รับจากทนายตั้มไปให้ บก.ปปป.และตรวจสอบข้อเท็จจริงภายใน 30 วัน รวมถึงตรวจสอบเส้นเงินว่ามีความเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใดบ้าง รวมถึงเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำเพื่อลงรายละเอียดในสำนวนการสอบสวน แต่สำนวนนี้จะยังไม่ส่งไปยัง ป.ป.ช.เนื่องจากทนายตั้มยังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีในความผิดตามมาตรา 157 และ 149
ทั้งนี้ ไม่ได้กังวลเรื่อพยานหลักฐาน เพราะเชื่อว่าเป็นวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งหากมีความเชื่อมโยงไปถึงใครก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถือเป็นเรื่องดีที่ทนายนำข้อมูลมาให้ แม้ว่าทางตำรวจจะมีข้อมูลจากคดีเก่าอยู่แล้วบางส่วน แต่เป็นโอกาสดีที่จะได้ข้อมูลเพิ่มเติม เพราะตำรวจก็ต้องการกวาดบ้านตัวเอง ใครทำผิดก็ต้องออกไป
ย้ำจะตรวจสอบทุกมิติทั้งเส้นทางการเงิน 30 เส้นรวมถึงตัวย่อนายตำรวจต่างๆที่ถูกพาดพิง และเป็นอุดมการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แล้วใครเกี่ยวข้องจะไม่ละเว้น
ส่วนกรณีที่ถูกบอกว่าตนเองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์จะมีผลต่อการตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่นั้น พลตำรวจตรีจรูญเกียรติยืนยันว่า ตนเองไม่เคยเลียตูดนาย ไม่ได้เป็นเด็กใครตามหน้าที่ ไม่ใช่เด็กของ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ตนเองทำงาน และมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความสามารถของตนเอง ทำเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอดและมีอุดมการของตนเอง ไม่มีใครใหญ่กว่าประตูห้องขัง
ส่วนกรณีที่ตำรวจออกหมายเรียกพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ สองครั้งนั้นไม่ขอพูดถึงเรื่องดังกล่าว เพราะไม่อยากให้สร้างประเด็นอื่นๆ และไม่อยากให้ขัดกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี ย้ำกับสื่อมวลชนว่าจะไม่ให้สัมภาษณ์
ด้านนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กล่าวว่า ตนเองมาในฐานะประชาชนที่พบเห็นการกระทำกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงนำเอกสารหลักฐานเป็นแชท สลิปโอนเงิน และสเตทเม้นท์รวมทั้งเส้นเงินรวมทั้งเส้นเงินจากบัญชีม้าเว็บพนันออนไลน์ของนายคชาชาญไปนายณัฐพงษ์ จะมีการโอนต่อไปยังตำรวจหลายนาย รวมถึงอดีต อุปนายกสมาคมนักข่าวแห่งหนึ่งให้ทำบุญ มีการโอนไปยังเครือญาตของบิ๊กจำรวจ มามอบให้กับ พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ซึ่ง ถอยหลังได้ฟังคำพูดของพลตำรวจตรีจะโดนเกลียดแล้วก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเป็น 40% จาก 30% เมื่อวานนี้ และจะรอดูการทำสำนวนว่า จะมีการตรวจสอบรายละเอียดตามที่ตนได้ร้องขอในวันนี้หรือไม่
ส่วนวันนี้ยืนยันว่ายังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีในความผิดตามมาตรา 157 และ 149 เป็นเพียง การนำเอกสารหลักฐานมาให้ตรวจสอบในกรอบระยะเวลา 30 วัน จากนั้นตนเองจะเดินทางมาติดตามความคืบหน้าก่อนพิจารณาดำเนินการในลำดับต่อไป ซึ่งเบื้องต้นอยากให้ทางตำรวจตรวจสอบข้อมูลที่นำมาให้ก่อนว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ ก่อนขอเอกสารฉบับจริงจากทางธนาคารเพื่อดำเนินคดี ยืนยันว่าไม่มีเจตนาออกมาป่วน
ตอนนี้ยอมรับว่าข้อมูลดังกล่าวมาจากสายลับที่เป็นตำรวจ จึงส่งข้อมูลมาให้ตนเองเพราะ ทนกับระบบไม่ได้ แต่ข้อมูลที่ได้รับมาไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ แต่หากมีผู้นำข้อมูลที่พบว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ทำผิดกฎหมายตนเองก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน และหลังจากนี้ตนเองจะไม่ขอให้สัมภาษณ์ถึงพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์อีก
ส่วนกรณีที่วันพรุ่งนี้ทีมทนายทนายความของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล จะไปฟ้องร้องตนเองที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ฐานหมิ่นประมาทนั้น เบื้องต้นได้รับทราบแล้วและรู้ว่าใครคือทีมทนาย ซึ่งบุคคลดังกล่าวเคยฟ้องร้องกับตัวเองมาแล้ว
6 คดีแต่ศาลยกฟ้องทุกคดี พร้อมเตือนไปยังผบ. ตร.ขอให้คิดดี ๆ คิดใหม่ จากนั้นทนายตั้มได้พูดชื่อของนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ว่าเป็นผู้ที่เคยฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาทกับตนเองและตนเองชนะทุกคดีแต่ไม่เคยได้รับเงินชดใช้ตามที่ศาลมีคำสั่ง
ทนายตั้มยังฝากไปถึงนายอัจฉริยะให้ออกมายืนข้างประชาชนดีกว่า อย่าไปออกรับแทนตำรวจ พวกนั้นเลย ให้มายืนคู่กันแฉเรื่องส่วยดีกว่า พูดเองยังขนลุกเลย และวันเสาร์นี้ตนเองจะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง พร้อมเชิญชวนให้ผู้สื่อข่าวไปด้วยกัน ซึ่งตนเองจะเปิดข้อมูลขบวนการนี้เพิ่มเติม
ภายหลังทนายตั้มให้ข้อมูลกับตำรวจแล้ว ได้กล่าวว่าจะ เชื่อมั่นในพลตำรวจตรีเจริญเกียรติเพิ่มขึ้นเป็น 70% และจะเข้ามาให้ข้อมูลกับพลตำรวจตรีจรูญเกียรติเกี่ยวกับพยานหลักฐานอีกครั้งในวันอาทิตย์นี้