เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 22 เมย. 67 ที่ ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พหลโยธิน จตุจักร กทม. จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ อดีต สห.ทอ.พานายสายชล ผ่องทรัพย์ อายุ 30 ปี พร้อมคุณพ่อคุณแม่และบุตรสาววัย 10 ขวบ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สุทธิรัตน์ อรทัย รอง ผกก.(สอบสวน) กก2 บก.ป.เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมกรณีถูกรถปิดอัพเฉี่ยวชนได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการ
นายสายชล เปิดเผยว่า ตนทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ดูแลรับผิดชอบหม้อต้มอบไอน้ำ เมื่อค่ำวันที่ 19 ธ.ค.66 ขณะขับขี่ จยย.จะไปทำงานเข้าเวรกะกลางคืน ผ่านสามแยกดอนโพธิ์ 2 ม.3 ต.ดอนทอง อ.เสนา พระนครศรีอยุธยา ถูกนายมาโนน (สงวนนามสกุล) อาชีพรับเหมาก่อสร้าง ขับปิคอัพ ทะเบียน 1 กผ 6553 สุพรรณบุรี
สวนทางมาก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยตัดหน้า จยย.ตนโดยไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว พุ่งชนตนและรถ จยย.จนกระเด็นทำให้ขาขวาหัก 5 ท่อนตั้งแต่ช่วงเชิงกรานลงไปถึงข้อเท้า เนื้อช่วงน่องเป็นแผลฉีกขาด ต้องเย็บกว่า 100 เข็ม มีกู้ภัยมาช่วยส่ง รพ.รักษาตัวนาน 16 วัน
ด้านคนขับรถปิคอัพรออยู่ที่เกิดเหตุ ตนได้โทร.แจ้งเหตุให้คุณแม่และน้องสาวมาดูรถ จยย.ก่อนจะพากันไปแจ้งความลงประจำวันไว้ที่ สภ.มารวิชัย ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา กับนายมาโนน แต่ทราบว่าทางตำรวจได้ปล่อยรถคู่กรณีออกไปทันที โดยไม่มีการให้เป่าวัดระดับแอลกอฮอร์แต่อย่างใด
ตนเองต้องรักษาตัวผ่าตัดขาดามเหล็กมาแล้วหลายครั้ง ต้องขายรถและกู้ยื่มมาเป็นค่ารักษาพยาบาลหมดไปแล้วกว่า 8 แสนบาทเนื่องจากรถคู่กรณีไม่มีประกันภัยบุคคลที่สาม
ทางพนักงานสอบสวนเรียกคู่กรณี ที่ส่งตัวแทนมาเจรจากัน 3 ครั้ง ตนเรียกร้องไป 4 แสนบาทแต่ตัวแทนรับมอบอำนาจมาต่อรองเหลือ 1 แสนบาท จะแบ่งจ่าย 6 งวด ตั้งแต่ ก.พ.จนถึงบัดนี้ยังไม่ยอมจ่ายเงินตามที่ตกลงสักบาทเดียว
ผ่านมา 4 เดือน ทางบริษัทที่ตนทำงานได้แจ้งให้ตนไปเขียนหนังสือลาออกเพราะเห็นว่าตนบาดเจ็บอาจจะพิการ ไม่สามารถกลับมาทำงานได้อีก
ทำให้ตนเกิดความเครียดคิดสั้นไม่อยากมีชีวิตต่อไป เพราะไม่สามารถหารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัวและลูกสาววัย 10 ขวบที่ตนเป็นพ่อเลี้ยงเดียวมากว่า 8 ปี
ส่วนคู่กรณี กลับไปใช้ชีวิตทำมาหากินได้ตามปกติ คุยว่ารู้จักผู้หลักผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซ้ำเงินเยียวยาที่ตกลงกันก็ไม่ยอมจ่าย
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับแจ้งก่อนประสานไปยัง พงส.สภ.มารวิชัย ท้องที่เกิดเหตุให้เรียกคู่กรณีมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
