จากกรณีเมื่อวันอังคารที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ทำเนียบขาวได้เปิดเผยอัตราภาษีใหม่สำหรับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 100 เมื่อบวกกับภาษีเพิ่มเติมร้อยละ 2.5 ที่เก็บจากรถยนต์ทุกประเภทที่นำเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ทำให้การจัดเก็บภาษีรวมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของจีนสูงถึงร้อยละ 102.5
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว สหรัฐฯยังเพิ่มการเก็บภาษีแผงโซลาร์เซลล์ และผลิตภัณฑ์พลังงานสะอาดอื่นๆ ที่นำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นการดำเนินการกีดกันทางการค้าที่หลายฝ่ายเชื่อว่า อาจบั่นทอนความพยายามเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน และการบรรลุเป้าหมายด้านการปล่อยคาร์บอนของสหรัฐฯ
โรบิน มิลส์ ซีอีโอของกามาร์ เอ็นเนอร์จี (Qamar Energy) ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านยุทธศาสตร์พลังงาน แสดงความเห็นว่า การปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรกับสินค้าพลังงานสะอาดจากจีนของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่นำโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจขัดขวางความพยายามลดคาร์บอนของสหรัฐฯ อย่างร้ายแรง การดำเนินการดังกล่าวเป็นเรื่องของ “การเมือง” อย่างชัดเจน โดยไบเดนต้องการปกป้องตำแหน่งงานด้านการผลิต ในกลุ่มรัฐที่มิอาจคาดเดาผลการเลือกตั้ง (swing states) เช่น มิชิแกนและเพนซิลเวเนีย ระหว่างสมรภูมิการเลือกตั้งในปัจจุบัน
มิลส์ ยังระบุอีกว่า นโยบายภาษีศุลกากรเชิงลงโทษดังกล่าว มุ่งกดขี่จีนที่กำลังผงาดขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ซึ่งจะไม่ได้มีแค่จีนที่โดน แต่หากอินเดีย อินโดนีเซีย ซาอุดีอาระเบีย หรือใครก็ตามที่กลายเป็นคู่แข่งสำคัญในเทคโนโลยีพลังงานใหม่ของสหรัฐฯ จะถูกกีดกันทางการค้าเช่นกัน
การปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรดังกล่าว จะชะลอการลดปล่อยคาร์บอนในสหรัฐฯ เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ มีราคาแพงขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์การรณรงค์ให้หันมาใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดโลกร้อน