พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวน พร้อมคณะเดินทางมาติดตามความคืบหน้ากรณีเรือบรรทุกน้ำมันของกลาง จำนวน 3 ลำ สูญหายพร้อมน้ำมันกว่า 300,000 ลิตร เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกับลงพื้นที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ เพื่อตรวจสอบ เรือบรรทุก 2 ลำ จาก 5 ลำ ที่จอดอยู่ที่บริเวณท่าเทียบเรือ รวมถึงสอบสวนนายตำรวจที่เข้าเวรรักษาการณ์ ในคืนเกิดเหตุ ทั้ง 2 นาย นอกจากนี้ยังสั่งให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และสอบปากคำลูกเรือที่เหลืออยู่ทั้งหมด จำนวน 10 คนด้วย
พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวน ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายหรือเจ้าของเรือมาแสดงตัวเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ หลังจากเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 3 ลำ สูญหายตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา
ส่วนการติดตามเรือที่สูญหาย เป็นการบูรณาการร่วมกันของตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่าเรือบรรทุกน้ำมันทั้งสามทั้ง 3 ลำ ไม่ได้จมทะเลตอนที่สภาพอากาศแปรปรวน แต่เชื่อว่ามีการนำพาไปโดยคนขับอาจจะมีความรู้ เกี่ยวกับการนำแอพ หรือข้อมูลในเว็บไซต์ มาใช้เพื่อบังคับเรือ เนื่องจากตำรวจได้ตรวจยีด ถอดอุปกรณ์ เดินเรือและ Gps ออกจากตัวเรือแล้ว ซึ่งประเด็นดังกล่าวยืนยันว่าจะมีการสอบสวนอย่างจริงจัง และต้องมีผู้กระทำความผิด
เบื้องต้นพบว่า มีนายตำรวจที่จะต้องถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 และมาตรา 148 อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นใครบ้าง ขอเวลาในการตรวจสอบในรายละเอียด ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการให้กองบังคับการปราบปราม ตำรวจปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และตำรวจปราบปราม ปปป. เร่งคลี่คลายคดี
ส่วนการสืบสวน เบื้องต้น พบว่า เรือทั้งสามลำ เป็นของ ”โจ้ ปัตตานี“ ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหายครั้งนี้ ส่วนเส้นทางการหลบหนีของเรือ จากถ้าเทียบเรือสัต ไปยังน่านน้ำของกัมพูชา ระยะทางรวมประมาณ 240 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทาง กว่า 15 ชั่วโมง เนื่องจากเรือมีน้ำหนักมาก ทำความเร็วได้ไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมกับเชื่อว่า จะไม่มีการปล่อยทิ้งน้ำมันในทะเล เนื่องจากมีมูลค่า ดังนั้นต้องมีการนำไปจำหน่ายที่ประเทศกัมพูชา เพราะ กระแสข่าวทราบว่า “โจ้ ปัตตานี” ยัง อาศัยอยู่ที่นั่น
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่ารวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ของรองฯ จรูญเกียรติ พบว่าวันนี้เตรียมออกคำสั่งช่วยราชการตำรวจ 5 นาย ประกอบด้วย ตำรวจชั้นประทวน ที่เฝ้าเวรรักษาการในวันเกืดเหตุ จำนวน 2 นาย ผู้บริหารสถานี 1 นาย และผู้บังคับบัญชา 2 คน เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างโปร่งใส
เมื่อถามว่า ภาพลักษณ์ของกองบัญชาการสอบสวนกลาง จะเสียห่ยหรือไม่ เมื่อตำรวจกองปราบ และปอศ. จับกุม แตืตำรวจน้ำกลับปล่อยให้หายไป พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ยืนยันว่าไม่ใช่การเสียหน้า แต่ทุกอย่างจะต้องมีการสอบสวนอย่างละเอียด ว่ามีบุคคลใดที่เข้าข่ายบกพร่องหรือทุจริต ซึ่งตำรวจ บชก. ดำเนินการโดยไม่ละเว้น
ด้าน พตอ. อินทรัตน์ ปัญญา ผกก.5 บก.รน. เปิดเผยว่าสำหรับคดีน้ำมันเถื่อนที่ตรวจยึดทั้ง 5 ลำ เป็นการจับกุมของตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและ กองบังคับการปราบปราม แล้วส่งมอบเรือ พร้อมผู้ต้องหา 28 คน ให้ตำรวจน้ำเป็นผู้ดูแลรักษา ในส่วนของทรัพย์สินและของกลาง ส่วนน้ำมัน เป็นของกรมสรรพสามิตร เข้ามาตรวตยึด และอยู่ระหว่างขายทอดตลาด และได้ถอดชิ้นส่งน พวงมาลัยเดินเรือและGPS ออก
ตามระเบียบการเก็บรักษาของกลาง สตช มีระเบียบชัดเจนว่าต้องมีเจ้ทหน้าที่ดูแลรักษา 24 ชั่วโมง แต่ในวันดังกล่าว เกิดสภาวะอากาศแปรปรวน และมีดจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ จึงมอบหมายให้ผู้ต้องหา นำเรือออกไปจอดและทอดสมอกลางทะเล แต่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตุการณ์ อยู่บนสะพานสัฃเกตุการณ์อย่างชัดเจน ซึ่งวันดังกล่าวในช่วงเวลากลางคืน เวลา 20.11 นาที ยังพบเรือตอดอยู่ แต่มาตอนเช้าพบว่าเรือหายไปจากจุดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ระยะทางจาก สถานีตำรวจน้ำสัตหีบ ไปถึงประตูทางเข้าถ้าเทียบเรือฯ ประมาณ 30 เมตร และจากประตูถ้าเทียบเรือ ไปยังจุดจอดเรือของกลาง
(เสื้อดำ) ด้านลูกเรือ “เรือกำไลเงิน” ที่เฝ้าเรืออยู่ที่ท่าเรือตำรวจน้ำสัตหีบยอมรับว่า วันเกิดเหตุ สภาพอากาศเลวร้าย ทางไต๋ก๋ง เลยสั่งให้ เรือพร้อมกับลูกเรือ ไปจอดทอดสมอห่างจากท่าเทียบเรือโดยจอดห่างกันประมาณ 100 เมตร โดยวันดังกล่าวตัวเองได้เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำตามปกติ ทำให้ไม่ทราบว่าเหตุการณ์วันดังกล่าวเกิดอะไรขึ้น พอตื่นเช้ามาก็พบว่าเรือหายไปแล้ว
ส่วนลูกเรือของเรือทั้ง 3ลำ ที่สูญหาย อย่างไรก็ตามยอมรับว่ารู้จักกันทั้งหมด ซึ่งแต่ละลำจะมีลูกเรือประมาณ 4-5 คน ส่วนใหญ่เป็นคนไทย พร้อมกับยืนยันว่าเรือไม่ได้ถูกคลื่นซัดจมทะเล แต่การขับเรือ โดยไม่มีเรดาร์ หรือ GPS ส่วนตัวไม่มีความรู้
(เสื้อเขียว+ใส่หมวก) ขณะที่ใต๋เก๋ง เรือ ช.โชคบุญชู หนึ่งในเรือสองลำที่ไม่ได้สูญหาย เล่าให้ฟังว่า เรือของตัวเองมีน้ำหนักเบา ไม่มีบรรทุกน้ำมัน จึงจอดอยู่บริเวณริมท่าเทียบเรือ ส่วนอีกสามลำ ที่สูญหาย บรรทุกน้ำมัน เมื่อเกิดลมพายุรุนแรง จึงถูกให้ย้ายไปทอดสมอ อยู่กลางทะเล ซึ่งตัวเองไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สั่งการ โดยยอมรับว่าหากเป็นสถานการณ์ปกติ หากมีสภาพอากาศแปรปรวนเลวร้าย เรือที่มีน้ำหนักก็จะถูกสั่งให้ไปทอดสมอห่างจากท่าเทียบเรือ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุกลับท่ากระแทกกับท่าเทียบเรือเสียหาย
สำหรับประวัติของเสี่ยโจ้ หรือ นายสหชัย เจียรเสริมสิน ซึ่งเป็นพ่อค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ในภาคใต้ที่ไม่มีใครไม่รู้จักโดยเจ้าตัวมีการกระทำความผิดคดีทางอาญาเมื่อปี 2546-2554 รวมทั้งหมด 14 คดี โดยเฉพาะคดีน้ำมันเถื่อน ที่ล่าสุดเมื่อปี 2564 ตำรวจสอบสวนกลางสามารถจับกุมตัวเสี่ยโจ้ได้ที่ห้วยขวางกรุงเทพมหานคร ก่อนส่งตัวไปดำเนินคดีที่ปัตตานีแต่ได้รับการประกันตัวในชั้นศาล
ซึ่งหลังจากได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมาทราบว่า เสี่ยโจ้ได้หายตัวไป และพบว่าไปหลบซ่อนอยู่ในประเทศกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน // โดย 14 คดีที่เสี่ยโจ้มีติดตัวไว้ทั้งหมดมีดังนี้ 14 คดี ดังนี้
1.คดี 1/2555 แจ้งความอันเป็นเท็จหรือให้ถ้อยคำเท็จต่อเจ้าพนักงานงาน โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ คดีนี้พนักงานสอบสวนสั่งฟ้อง แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ทำให้ขาดอายุความ
2.คดีเล่นการพนันสลากกินรวบ หรือหวยเถื่อน
3.คดีร่วมกันนำของที่ยังไม่ได้เสียภาษีเข้ามาในราชอาณาจักร
4.คดีร่วมกันทำให้เสียหายซึ่งเรือของกลางที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึด
5.คดีร่วมกันนำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่ได้เสียภาษีเข้ามาในราชอาณาจักร
6.คดีทำขึ้นปลอมขึ้นซึ่งดวงตราประทับสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ
7.คดีเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบซึ่งเสียโจ้มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
8.คดีตั้งและประกอบกิจการโรงงานโดยได้รับอนุญาต
9.คดีปลอมเอกสาร
10.คดีหลบหนีไประหว่างการควบคุมตัวของเจ้าพนักงานตำรวจ
11.คดีขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน
12.คดีหลบหนีไประหว่างคุมขังตามอำนาจศาล
13.คดีเป็นเจ้าของเรือไม่ได้ติดตั้งระบบติดตามเรือ
14.คดีเรือที่ไม่มีใบอนุญาตทำการประมงแต่ใช้ทำการประมง
ซึ่งแต่ละคดี ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกันทั้งหมด