กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย, พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก, เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ. โดยการสั่งการของ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ,พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.วีระพงษ์ คล้ายทอง ผกก.4 บก.ปคบ. ปฏิบัติการจับกุมผู้ต้องหาอ้างตัวเป็นแพทย์ฉีดเสริมความงามให้ประชาชน
สืบเนื่องจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชน ขอให้ทำการตรวจสอบบุคคลแอบอ้างตัวเป็นแพทย์ฉีดเสริมความงามให้ประชาชน โดยจะนัดหมายกลุ่มลูกค้าผ่านทางเฟซบุ๊ก จากนั้นเปิดโรงแรมย่านสุขุมวิทใช้เป็นสถานที่ฉีดเสริมความงาม เช่น ฉีดวิตามินผิว, ฟิลเลอร์, โบท็อก โดยสงสัยว่าบุคคลที่ทำหัตถการให้ไม่ใช่แพทย์
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการสืบสวนหาข่าวพบว่ามีการนัดหมายกลุ่มลูกค้าเข้ามารับบริการฉีดเสริมความงามโดยใช้โรงแรมต่างๆ ย่านสุขุมวิทเป็นสถานที่นัดหมายสำหรับให้บริการจริง
ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. จึงลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว พบ น.ส.เจติยา (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี แอบอ้างเป็นแพทย์หญิง ให้บริการฉีดรักษา เสริมความงามแก่ลูกค้าที่นัดหมายไว้โดยขณะนั้นมีลูกค้ารอรับบริการอยู่หลายราย จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.เจติยาฯ ไม่ใช่แพทย์ และไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม ประกอบกับสถานที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นห้องพักในโรงแรม ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล และดำเนินการสถานพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุม น.ส.เจติยาฯ พร้อมตรวจยึดของกลาง รวม 5 รายการ ได้แก่ ยาที่บรรจุในไซริ้งค์พร้อมฉีดไซริ้ง เข็ม และฟิลเลอร์สำหรับใช้ฉีดให้ประชาชน นำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ.
โดย น.ส.เจติยาฯ รับว่าตนไม่ใช่แพทย์ ไม่มีความรู้ ความชำนาญ อย่างแพทย์ผู้มีวิชาชีพแต่อย่างใด เรียนจบการศึกษาระดับชั้น ปวช.3 สาขาการขาย และไปศึกษากับภรรยาของหมอจีนที่พักอาศัยภายในประเทศมาเลเซีย จึงพอมีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ ประกอบกับมีความสนใจในด้านศัลยกรรมเสริมความงาม และเห็นช่องทางว่ามีรายได้ดี จึงเริ่มรับงานโดยแอบอ้างตัวเป็นแพทย์ศัลยกรรมเฉพาะทาง รับฉีดวิตามินผิว ฟิลเลอร์ โบท็อก ให้กับลูกค้าทั้งในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย โดย น.ส.เจติยาฯ จะนัดหมายลูกค้าผ่านเฟซบุ๊กครั้งละหลายราย และเปิดโรงแรมรายวันเพื่อให้บริการฉีดเสริมความงามให้ลูกค้าตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะใช้จุดนัดหมายหลายจุด และเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ โดยทำมาแล้วประมาณ 5 ปี มีรายได้เดือนละ 20,000-40,000 บาท
การกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นความผิดตาม
1.พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 ฐาน “ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ.กล่าวฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนว่า ควรศึกษาข้อมูลคลินิก แพทย์ผู้ทำการรักษา และขั้นตอนการรักษาให้ดีก่อนที่จะเข้ารับบริการเสริมความงาม อย่าหลงเชื่อโปรโมชั่นหรือราคาที่เสนอต่ำกว่าคลินิกทั่วไป เนื่องจากการเสริมความงามเป็นขั้นตอนและวิธีการที่จะต้องใช้ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และเกิดผลกระทบกับใบหน้า และร่างกายโดยตรง และแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่สวมรอยเป็นหมอ หมอเถื่อน หรือคลินิกเถื่อน ให้หยุดพฤติการณ์ดังกล่าวทันที เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่อง หากตรวจพบจะดำเนินคดีโดยเด็ดขาด พี่น้องประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน บก.ปคบ.1135 หรือเพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค