สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 ส.ค.66 ได้มีคนแปลกหน้าทักไลน์พร้อมแนบลิงก์ส่งให้ผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายกดลิงก์พบว่าเป็นโฆษณาชักชวนลงทุนโดยอ้างบริษัทซิตี้แบงก์ โดยโฆษณาว่าลงทุนเพียง 1,000 บาท จะได้กำไร 30,000 บาทต่อเดือน ผู้เสียหายเห็นว่าได้กำไรเยอะ จึงหลงเชื่อและโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายจำนวน 1,000 บาท
หลังจากนั้นคนร้ายได้ส่งข้อความทางไลน์กลับมาแจ้งว่า การลงทุนแค่ 1,000 บาท มีความเสี่ยงสูง ต้องลงทุนเพิ่ม ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายอีกจำนวน 8,999 บาท จากนั้นคนร้ายแจ้งว่าให้ลงทุนเพิ่มอีกเพื่อจะได้ถอนเงินออก โดยครั้งนี้เป็นการลงทุนหลักหมื่นเพื่อจะได้กำไรกลับมานับหลายแสน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปอีก 99,678 บาท ต่อมาคนร้ายแจ้งว่าต้องลงทุนเพิ่มอีกเนื่องจากยังไม่ครบจำนวนที่สามารถถอนเงินออกมาได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปยังบัญชีธนาคารคนร้ายอีก 124,379 บาท
ภายหลังคนร้ายแจ้งว่าจากการที่ลงทุนไปทั้งหมด ผู้เสียหายได้กำไร 2,000,000 บาท แต่ผู้เสียหายต้องเสียค่าธรรมเนียม จำนวน 46,642 บาทก่อน ถึงจะถอนเงินออกมาได้ ผู้เสียหายจึงโอนยอดดังกล่าวไปให้คนร้ายอีก จากนั้นคนร้ายอ้างว่าต้องชำระค่าภาษีเงินได้อีกจำนวน 72,555 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป จากนั้นคนร้ายอ้างว่าผู้เสียหายโอนผิดจำนวนต้องโอนใหม่ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปอีก 72,554 บาท จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่า ผู้เสียหายต้องจ่ายค่าเทรนเนอร์อีก 100,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเพิ่มอีก จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่าต้องจ่ายค่าสรรพากรอีก 120,909 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเพิ่มไป จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่าต้องจ่ายค่าดำเนินการอีก 60,499 บาท ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อโอนเงินไป จากนั้นคนร้ายอ้างต่ออีกว่าจำนวนเงินที่ผู้เสียหายได้รับนั้นมีจำนวนมาก ทางบริษัทต้องดำเนินการแบบระดับ VIP จึงต้องจ่ายเพิ่มอีก 80,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปอีก จากนั้นคนร้ายอ้างว่าผู้เสียหายบันทึกรายการผิดต้องโอนใหม่ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนไปยังบัญชีธนาคารคนร้ายเพิ่มอีกจำนวน 80,000 บาท
หลังจากนั้นผู้เสียหายเริ่มรู้สึกผิดสังเกต จึงไปปรึกษาเพื่อนและทราบว่าตนเองถูกหลอกแล้ว รวมโอนเงินให้คนร้ายจำนวน 18 ครั้ง รวมมูลค่าความเสียหาย 1,107,505 บาท จึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินคดี
ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกสืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าว จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการได้หลายราย
กระทั่ง ว่าที่ พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนจนทราบว่า น.ส.รัชนาถฯ อายุ 22 ปี หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการ ได้พักกบดานอยู่ภายในหมู่บ้านเอื้ออาทรแห่งหนึ่งในซอยวัดกู้ หมู่ 3 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงนำกำลังวางแผนเข้าจับกุมจนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ขณะยืนอยู่บริเวณริมถนนหน้าอาคาร ในหมู่บ้านเอื้ออาทรดังกล่าว พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และนำเข้าสู่ระบบระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง” นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.5 ดำเนินคดี พร้อมเร่งขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีเพิ่มเติมต่อไป