การรวมชาติ “จีน” กับ “ไต้หวัน” ย่อมเกิดขึ้นแน่ เพียงแต่จะช้าหรือเร็ว
การแทรกแซงของ “อเมริกา” ไม่สามารถยุติความจริงในเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไร “ไต้หวัน” ก็คือดินแดนของจีน
ขณะที่การเข้ามาแทรกแซงไต้หวันของสหรัฐฯ แม้ด้านหนึ่งจะดูเหมือนมีความปรารถนาดี แต่สิ่งที่อเมริกายึดมั่นมาตลอดก็คือ ผลประโยชน์ของอเมริกาต้องมาก่อน
ตราบใดที่ไต้หวันยังสร้างผลประโยชน์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ให้กับสหรัฐฯได้ ความสัมพันธ์ก็ราบรื่น แต่หากผู้นำอเมริกามองว่าปากท้องของอเมริกาต้องมาก่อน ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นก็อาจจะโรยรา
ดังคำพูดของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยให้สัมภาษณ์ผ่านหลายเวทีว่า ไทเปต้อง “จ่ายเงิน” หากต้องการการคุ้มครองจากอเมริกา
ที่สำคัญคือทรัมป์ไม่พอใจไต้หวันที่ขโมยอุตสาหกรรม “เซมิคอนดักเตอร์” ไปจากอเมริกา จนทำให้อเมริกาเสียผลประโยชน์ที่ควรจะได้มหาศาล
แน่นอนว่า หาก “ทรัมป์” ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ บัญชีนี้ต้องสะสาง
จู เฟิ่งเหลียน โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน ระบุในงานแถลงข่าวก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยอ้างถึงวาทกรรมของทรัมป์ ที่สะท้อนให้เห็นว่าผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ต้องมาเหนือสิ่งอื่นใด นั้นหมายความว่า “ไต้หวันอาจจะเปลี่ยนจากเบี้ยหมากรุก กลายเป็นลูกที่ถูกทิ้ง”
ทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เขามองผลประโยชน์คนอเมริกันต้องมาก่อน จนกลายเป็น “สงครามการค้า” ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นถ้าผลประโยชน์ของสหรัฐฯถูกลิดรอนในไต้หวัน เขาก็พร้อมจะทิ้งไต้หวันได้ทุกเมื่อ
จึงไม่น่าแปลกที่ผลการทำโพลของสถาบันบรูกกิ้ง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จากการสอบถามคนไต้หวัน 1,500 คน มีเพียง 17% ที่ต้องการให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะเป็นประธานนาธิบดี
“สหรัฐฯ พยายามจะปกป้องหรือทำลายไต้หวัน ชาวไต้หวันส่วนใหญ่รู้ดี และคงจะใช้วิจารณญาณตัดสินได้ว่า สิ่งที่สหรัฐอเมริกายึดมั่นมาโดยตลอดก็คืออเมริกาต้องมาก่อน” จู เฟิ่งเหลียน ระบุ