การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC) ครั้งที่ 31 ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู เปิดฉากขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2024 ภายใต้หัวข้อหลัก “เสริมสร้างพลัง มีส่วนร่วม และเติบโตยั่งยืน”
แนวทางการเจรจาผ่านเวทีเอเปคครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของโลกยุคใหม่ ในความมีเสรีภาพและเท่าเทียม ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ยังตึงเครียด โดยเฉพาะนโยบาย America First ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งขัดแย้งกับข้อตกลงการค้าโลก และความร่วมมือแบบพหุภาคี
สงครามการค้า 2.0 ของทรัมป์ อาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ต่อความพยายามขยายความร่วมมือทางการค้า ในกลุ่มเอเปค 21 ประเทศ และ กลุ่ม จี20 ซึ่ง สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน และ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จะเดินทางเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย
การพบกันของสีจิ้นผิงและไบเดน ทั้งในเวทีเอเปค (15-16 พฤศจิกายน) ต่อด้วยการประชุม จี20 ที่บราซิล (18-19 พฤศจิกายน) อาจไม่สามารถคาดเดาถึงผลลัพธ์แง่บวก และการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองมหาอำนาจได้มากนัก เนื่องจากการเข้ารับตำแหน่งของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งประกาศจุดยืนขึ้นสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และประเทศอื่นๆ 10-20 เปอร์เซ็นต์ โดยทรัมป์อ้างว่า “เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” แต่อีกด้านหนึ่งกลายเป็นการกีดกันทางการค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศความร่วมมือทางการค้าแบบพหุภาคีอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมประชุมเอเปค และ จี 20 ของ สีจิ้นผิง คงไม่สูญเปล่า เพราะผู้นำจีนจะร่วมกับผู้นำเปรู เปิดท่าเรือชานเคย์ (Chancay) อยู่ห่างจากกรุงลิมา ประมาณ 80 กิโลเมตร ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ สร้างโดยเครือบริษัทคอสโก้ของจีน มูลค่าการลงทุน 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่าเรือแห่งนี้จะเป็นท่าเรือหลักของทวีปอเมริกาใต้ ในการแลกเปลี่ยนเส้นทางการค้ากับประเทศเอเชีย ลดเวลาการขนส่งสินค้าจากทวีปอเมริกาใต้ไปยังเอเชียตะวันออก จาก 40 วัน เหลือ 20 วัน เนื่องจากไม่ต้องผ่านคลองปานามา โดยจะเริ่มเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนนี้
