เมื่อครั้งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยแรก ในปี 2017-2021 สถานการณ์ช่องแคบไต้หวัน คุกรุ่นด้วยความตึงเครียด เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์ สนับสนุนเอกราชไต้หวัน รวมถึงขายอาวุธแก่ไต้หวัน ภายใต้กฎหมายความสัมพันธ์กับไต้หวัน เป็นตัวกัดเซาะความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน สานต่อจนถึงสมัยประธานาธิบดี โจ ไบเดน
ขณะที่จีน ส่งเสียงเตือนสหรัฐเป็นประจำ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางทหารใดๆ กับไต้หวัน และกำหนดมาตรการคว่ำบาตร เหล่าบริษัทผู้จัดหาทางทหาร และบรรดาผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้น ไปแล้วหลายรอบ
แต่การกลับมาของทรัมป์ 2.0 ดูเหมือนท่าทีของทรัมป์ เริ่มเปลี่ยนไป นับตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่ทรัมป์ทำให้ไต้หวันรู้สึกวิตกกังวล ด้วยการเรียกร้องให้ไต้หวัน ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อปกป้องประเทศ
เมื่อทรัมป์ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอเมริการอบสอง เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ทางไกล ในการประชุมประจำปีของสภาเศรษฐกิจโลก (WEF) ปี 2025 ในเมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า รัฐบาลของเขา มุ่งหวังในความสัมพันธ์อันดีกับจีน พร้อมเน้นย้ำว่า ผู้นำของสหรัฐและจีนจะมี “ความสัมพันธ์ต่อกันที่ดีมาก”
ในมุมมองของ “ทรัมป์” เขาให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก เริ่มต้นด้วยการประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้า แต่ยังไม่แตะต้อง “ไต้หวัน”
บทเรียนในอดีตชี้ชัดว่า ความผูกพันของ “จีน” กับ “ไต้หวัน” ลึกซึ้งเกินกว่าใครจะกล้าเปลี่ยนแปลง นโยบายจีนเดียว เป็นเรื่องที่ห้ามก้าวก่าย
สีจิ้นผิง เคยย้อนให้เห็นถึง “ประวัติศาสตร์” ที่สอนว่า จีนและสหรัฐ ต่างสูญเสียจากการเผชิญหน้า จึงควรหันมาสร้างประโยชน์จากความร่วมมือที่ดี มีเสถียรภาพ และยั่งยืน นอกจากจะเอื้อต่อประโยชน์ร่วมกันของสองประเทศแล้ว ยังตอบสนองความคาดหวังของประชาคมนานาชาติ
ในการสนทนาทางโทรศัพท์ ระหว่าง สีจิ้นผิง กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำจีนเอ่ยชัดเจนว่า ปัญหาไต้หวันเกี่ยวข้องกับอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน ซึ่งจีนหวังว่าฝ่ายสหรัฐ จะดำเนินการด้วยความระมัดระวัง
โลกยอมรับว่า ทรัมป์เป็นคนฉลาด และเชื่อมั่นว่าการเข้ามาดำรงตำแหน่งของเขา จะก่อให้เกิดความสงบสุขในเชิงภูมิรัฐศาสตร์
หลักการ “จีนเดียว” คือพื้นที่ภูมิรัฐศาสตร์ยุคใหม่ ที่นานาชาติยอมรับ ซึ่งนโยบายของทรัมป์ต่อเรื่องนี้ คงต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ก่อนดำเนินการอะไรออกมา เพราะผลที่ได้อาจไม่คุ้มเสีย
ขอบคุณภาพประกอบจากซินหัว