ขณะที่ผู้นำคนใหม่ของอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่ง ถอนตัวอย่างเป็นทางการ ออกจากข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นข้อตกลงสำคัญระหว่างประเทศต่างๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดภาวะโลกร้อน ให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศา
การถอนตัวของอเมริกา อาจทำให้โลกสิ้นหวัง ในนิเวศสีเขียว เพราะสหรัฐฯเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ สำหรับประเทศกำลังพัฒนา เปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว การขาดผู้สนับสนุนทางการเงิน จึงไม่ต่างจากรถที่ขาดน้ำมัน
แต่วันนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป จีนกลายเป็นผู้นำขั้วโลกใหม่ ประกาศสนับสนุน “โลกสีเขียว“ อย่างจริงจัง ด้วยการลงนามบันทึกความร่วมมือ 54 ฉบับกับ 42 ประเทศกำลังพัฒนา นับตั้งแต่โครงการ ”แถบแสงสว่างอาฟริกา” โดยใช้ข้อได้เปรียบของอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ของจีน ช่วยเหลือครัวเรือนชาวแอฟริกันหลายหมื่นครัวเรือน แก้ไขปัญหาความยากลำบากในการใช้ไฟฟ้า ช่วยให้พวกเขาบรรลุการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำ
ในฐานะประเทศกำลังพัฒนาใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นประเทศใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ จีนได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา ที่ให้ไว้อย่างจริงจัง ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการปฏิบัติตาม “ข้อตกลงปารีส” และ “วาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ค.ศ. 2030” อย่างครอบคลุมและเชิงลึก พร้อมเรียกร้องให้ประเทศพัฒนาแล้ว ปฏิบัติตามความรับผิดชอบและพันธกรณี เพิ่มการสนับสนุนทางการเงิน และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ไปยังประเทศกำลังพัฒนา เพื่อร่วมกันรับมือกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในอีกด้าน จีนมุ่งมั่นพัฒนา “ยานยนต์ไฟฟ้า” จนได้รับความนิยมทั่วโลก มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นในทุกประเทศที่เข้าไปทำตลาด ตามเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากการสนับสนุนประเทศต่างๆ ภายในประเทศจีน ก็มุ่งสู่พลังงานสีเขียวอย่างจริงจัง ตั้งเป้าลดคาร์บอน 3 พันล้านตัน ภายใน 10 ปี ประชาชนหันใช้รถยนต์ไฟฟ้า มากกว่า 20 ล้านคันต่อปี ออฟฟิศสำนักงาน 64% เป็นอาคารประหยัดพลังงาน ขณะที่สิ่งปลูกสร้างใช้พลังงานต่ำเป็นพิเศษหรือเกือบเป็นศูนย์ เพิ่มขึ้นเกิน 43.7 ล้านตารางเมตรในปีที่ผ่านมา ผลักดันจีน ให้กลายเป็น “มหาอำนาจ” แห่งความหวัง