
นายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ระบุว่า การดำเนินโครงการสัมปทานเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมในจังหวัดสตูล 2 แห่ง เข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนในประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยการขอประทานบัตรเหมืองแร่ที่ 1/2559 ในพื้นที่เขาลูกเล็กลูกใหญ่ ตำบลป่าแก่บ่อหิน อำเภอทุ่งหว้า มีการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง และไม่ได้นำข้อเท็จจริงของสภาพพื้นที่มาศึกษาอย่างรอบด้าน อีกทั้งในรายงานผลการสำรวจพื้นที่ของกรมป่าไม้ ที่ระบุว่า ไม่มีสภาพพื้นที่ป่าสมบูรณ์นั้น ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงจากการสำรวจครั้งแรกร่วมกับตัวแทนประชาชนในพื้นที่ซึ่งพบว่า เป็นป่าในเขตพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์โซน C และเป็นแหล่งน้ำซับซึม ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยและดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มานิ และการขอประทานบัตรเหมืองแร่ที่ 4/2559 ในพื้นที่เขาโต๊ะกรัง ตำบลควนโดน อำเภอควนโดน และตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง ไม่ได้นำข้อร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ไปพิจารณาและประชาชนไม่ได้รับแจ้งให้เข้าร่วมเวทีการรับฟังความคิดเห็นที่จัดขึ้นเพิ่มเติม สภาพพื้นที่เป็นแหล่งต้นน้ำอยู่ใกล้กับบ้านเรือนประชาชน โรงเรียนสอนศาสนาและแหล่งโบราณคดีที่สำคัญของจังหวัด
ผู้ร้อง และเครือข่ายภาคประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่มีความห่วงกังวลว่า การดำเนินโครงการสัมปทานเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมทั้งสองโครงการจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ชุมชน สภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่สำคัญในจังหวัดสตูล จึงขอให้ตรวจสอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งห้า ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมป่าไม้ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสตูล จังหวัดสตูล และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (ผู้ถูกร้อง)
กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า (1) กรณีคำขอประทานบัตรที่ 1/2559 พื้นที่เขาลูกเล็กลูกใหญ่ บริษัทผู้ได้รับสัมปทานได้ขอตัดพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ และป่าเพื่อการอนุรักษ์โซน C ทางด้านทิศใต้ออกแล้ว พื้นที่ขอประทานบัตรจึงไม่มีเนื้อที่ทับซ้อนกับพื้นที่ที่ต้องห้ามตามระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 อย่างไรก็ดี ประชาชนในพื้นที่ยังเห็นว่า มีแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมในพื้นที่เขาลูกเล็กลูกใหญ่อยู่ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์หรือตรวจสอบทางธรณีวิทยาเนื่องจากคำนิยาม “พื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม” ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ไม่ชัดเจน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่ได้ให้ผู้ร้องที่พบเห็นแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมเข้าร่วมสำรวจพื้นที่เขาลูกเล็กลูกใหญ่อีกเพื่อตรวจสอบว่า มีแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมในพื้นที่คำขอประทานบัตรหรือไม่ และอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ลงนามอนุญาตให้ประทานบัตรที่ 1/2559 แก่บริษัทโดยไม่ได้ชี้แจงข้อมูลให้ผู้ร้องและประชาชนรับทราบก่อนการดำเนินการหรืออนุญาต จึงไม่เป็นไปตามหลักสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสาร ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และหน้าที่ของกรมป่าไม้ และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ในการคุ้มครอง บำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมดำเนินการและได้รับประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าว ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนกรณีคำขอประทานบัตรที่ 1/2559 โดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสตูล และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ แม้จะครบถ้วนตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่การรับฟังความคิดเห็นยังไม่ครอบคลุมผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง โดยประชาชนที่อยู่ห่างไกลเกินกว่าห้าร้อยเมตรจากพื้นที่ประทานบัตรไม่สามารถเข้าร่วมกระบวนการรับฟังความคิดเห็นได้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับกิจกรรมการทำเหมืองแร่หินปูนที่อาจจะส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนที่อยู่ไกลเกินกว่าห้าร้อยเมตร เช่น ปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน เสียงดัง ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน ทั้งจากการทำเหมืองแร่และการขนส่งผ่านชุมชน ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า การกระทำของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสตูล และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนประเด็นที่ผู้ร้องระบุว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์มานิอยู่ในพื้นที่ประทานบัตรเขาลูกเล็กลูกใหญ่ด้วยนั้น เห็นว่า การที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่สอบถามข้อมูลจากกลุ่มชาติพันธุ์มานิให้ครบทุกกลุ่ม รวมถึงไม่สำรวจพิกัดการตั้งทับหมุนเวียน เป็นการจำกัดสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในที่ดินและป่าไม้ของกลุ่มชาติพันธุ์มานิเกินสมควรแก่กรณี ทั้งที่รัฐมีหน้าที่ส่งเสริมและให้ความคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน จึงรับฟังได้ว่า กระบวนการจัดทำรายงาน EIA ของ สผ. ที่ไม่ได้นำข้อมูลวิถีการดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มานิมาประกอบการพิจารณา รวมถึงไม่เปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์มานิได้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น จึงมีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
(2) กรณีคำขอประทานบัตรที่ 4/2559 พื้นที่เขาโต๊ะกรัง ปรากฏว่า จากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ประชาชนที่อยู่ห่างจากพื้นที่ขอประทานบัตรเพียง 300 เมตร ไม่ทราบรายละเอียดของโครงการและไม่ได้รับแจ้งให้เข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็นตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 จึงยื่นฟ้องสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสตูล และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ต่อศาลปกครองสงขลา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส 1/2564 แล้ว จึงเป็นกรณีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 39 (1) ประกอบมาตรา 39 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้ กสม. สั่งยุติเรื่อง หากเป็นเรื่องที่มีการฟ้องเป็นคดีอยู่ในศาลหรือเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษา คำสั่ง หรือคำวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว
สำหรับกระบวนการจัดทำรายงาน EIA พบว่า ผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชน และผู้ได้รับผลกระทบไม่ทราบรายละเอียดและไม่ได้รับแจ้งให้เข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็น นอกจากนี้ แม้ สผ. จะทราบเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับคำขอประทานบัตรแปลงนี้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้เสนอรายละเอียดข้อคัดค้านต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน EIA (คชก.) เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา ดังนั้น การที่ คชก. มีมติเห็นชอบรายงาน EIA ของบริษัท โดยไม่ได้พิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน จึงมีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เสนอ คชก. พิจารณาทบทวนรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของทั้งสองโครงการที่ได้ผ่านความเห็นชอบแล้ว และนำข้อร้องเรียนของผู้ร้องและประชาชนมาประกอบการพิจารณา และเปิดโอกาสให้ผู้ร้อง ชุมชน และประชาชนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ได้เข้ามาชี้แจงข้อมูลและมีส่วนร่วมในการพิจารณาประเด็นที่มีการโต้แย้งกันอยู่และประเด็นที่มีข้อห่วงกังวล
และให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ในฐานะฝ่ายเลขานุการในคณะกรรมการแร่ ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ร่วมกับกรมป่าไม้และกรมทรัพยากรธรณี สำรวจพื้นที่ที่จะกำหนดเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองและเปิดโอกาสให้นักวิชาการ ประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียที่อาจจะได้รับผลกระทบเข้าร่วมสำรวจและแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ รวมทั้งนำข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อมูลที่ได้มาประกอบการพิจารณากำหนดคำนิยาม “พื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม” ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 17 วรรคสี่ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ซึ่งเป็นที่รับรู้ของประชาชนในพื้นที่ว่ามีการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ โดยเมื่อกำหนดคำนิยามแล้วเสร็จ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ทบทวนแหล่งหินอุตสาหกรรมตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดพื้นที่แหล่งหินอุตสาหกรรมทั้งสองแห่ง ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของพื้นที่ ไม่ให้อยู่ในเขตพื้นที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มาตรา 17 วรรคสี่
นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมทบทวนประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนในพื้นที่ที่ขอประทานบัตร พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 18 เมษายน 2561 ในส่วนของการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนในพื้นที่ขอประทานบัตรที่อยู่ไกลเกินกว่าห้าร้อยเมตร โดยประเมินความเสี่ยงของผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบที่แท้จริงและเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียและประชาชน และชุมชน ได้เข้ามามีส่วนร่วม และรับทราบข้อมูลและรายละเอียดอย่างเพียงพอต่อการแสดงความคิดเห็นหรือการตัดสินใจ รวมถึงผลการพิจารณาของหน่วยงานอนุญาต





