ชูวิทย์ กมลวิศิษย์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง จุดประเด็นเดือดสะเทือนการเมืองไทย-เขมร โพสต์แฉสงครามผลประโยชน์ระหว่างตระกูล “ฮุน” กับ “ชินวัตร” เบื้องหลังคลิปแฉ “นายกฯ น้อย” อาจไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่คือเกมเดิมพันครั้งใหญ่ที่มี “คาสิโนหมื่นล้าน” เป็นตัวตั้ง
เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 นายชูวิทย์ กมลวิศิษย์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านช่องทางโซเชียลส่วนตัว เปิดเผยแผนสมรู้ร่วมคิดที่อาจซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าแห่งความขัดแย้งระหว่าง “ตระกูลฮุน” แห่งกัมพูชา และ “ตระกูลชินวัตร” แห่งไทย โดยตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลในการเปิดศึกระหว่างมิตรเก่าอย่าง “ฮุนเซน” กับ “ทักษิณ ชินวัตร”
ชูวิทย์ชี้ว่า ทั้งสองเคยแสดงความแนบแน่นถึงขั้นไปเยี่ยมกันถึงโรงพยาบาลในชั้น 14 ถ่ายรูปคู่ในสภาพแขนห้อย คอสวมปลอกคอ แต่กลับมีการแฉกันภายหลังว่าเป็น “การแกล้งป่วย” พร้อมตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้ว “ผลประโยชน์” ที่ขัดแย้งกันคืออะไร
อดีตนักการเมืองผู้นี้วิเคราะห์ว่า จุดแตกหักอาจอยู่ที่ “Entertainment Complex” ซึ่งพรรคเพื่อไทยผลักดันเต็มสูบ พร้อมอ้างว่าจะช่วยสร้างรายได้และงานมหาศาลให้ประเทศ ชนิดที่สื่อบางส่วนถึงกับเรียกเป็น “ยาวิเศษ” พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย
แต่แท้จริงแล้ว หากไทยมี Entertainment Complex ขึ้นมา ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุดอาจไม่ใช่ใครอื่น นอกจากกัมพูชา ประเทศเพื่อนบ้านที่เต็มไปด้วยคาสิโนทุกหัวเมืองตั้งแต่ปอยเปตถึงสีหนุวิลล์ การเกิดขึ้นของคอมเพล็กซ์ในไทยจะส่งผลเป็นโดมิโน ถล่มตลาดพนันทั้งออนไลน์และออนไซต์ของกัมพูชาโดยตรง
ชูวิทย์ยังตั้งข้อสังเกตถึงพรรคการเมืองในไทยที่จู่ๆ ก็ออกมาต่อต้านแนวคิดดังกล่าวอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะ “พรรคภูมิใจไทย” ที่แสดงออกชัดตั้งแต่ต้น พร้อมตั้งคำถามว่าเบื้องหลังการไม่เห็นด้วยครั้งนี้ เป็นเพียงความเห็นต่างธรรมดาหรือมีความแค้นฝังรากจากอดีต
เขาระบุว่าการเจรจาดีลการเมือง โดยเฉพาะเรื่องโควตา ส.ว. กลายเป็น “ฮั้วที่ไม่สำเร็จ” เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน ต้องหันมาเล่นเกมหักกันกลางเวที ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยถูกรวบรวมพลังดันไปเป็นฝ่ายค้านอย่างไม่เต็มใจ พร้อมหยิบคำพูดเก่าของ “เนวิน ชิดชอบ” มาตอกย้ำว่า “มันจบแล้วครับเน”
ขณะที่ฝั่งฮุนเซนก็ไม่น้อยหน้า มีการปล่อย “คลิปเสียง” ของ “นายกรัฐมนตรีหญิง” ออกมา เขย่าวงการเมืองไทย พร้อมประกาศว่า ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายใน 3 เดือน โดยระบุชื่อ “อนุทิน” ผู้นำภูมิใจไทยที่ขณะนั้นยังไม่ติดโผรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แต่กลับเดินหน้าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันที
ชูวิทย์สรุปว่า แผนลึกซับซ้อนขนาดนี้ ต้องเป็น “ระดับเซียน” เท่านั้นถึงจะมองออก พร้อมเปรียบเทียบกับตำราพิชัยสงครามที่ต้องเปิดถึงบทสุดท้าย — เพราะเมื่อผลประโยชน์ขัดกัน “ทุกอย่างก็พัง”
เขาทิ้งท้ายอย่างถึงพริกถึงขิงว่า “นักการเมืองเขมรกับนักการเมืองไทย เหมือนฝาแฝดคลานตามกันมา เรื่องความปลิ้นปล้อน นักการเมืองไทยไม่ได้กินเขมรหรอก” พร้อมบอกว่าความแค้นจากครั้งก่อนยังไม่จางหาย “ยิ่งแก่ยิ่งจำแม่น” และตั้งคำถามชวนสะกิดใจว่า
“ครูใหญ่ หรือจะสู้ นายใหญ่?”
ฮุนเซน เข้าข้างใคร?
โถ… ดูเอาแล้วกันว่า ใครพูดเขมรคล่องกว่า!
#สืบจากข่าว รายงาน