วันเสาร์, กรกฎาคม 5, 2025
หน้าแรกการเมืองเปิดปมปริศนา “ทักษิณ” สยบแทบเท้า “ฮุนเซน” ใครคือผู้คุมเกมตัวจริง?

Related Posts

เปิดปมปริศนา “ทักษิณ” สยบแทบเท้า “ฮุนเซน” ใครคือผู้คุมเกมตัวจริง?

ในโลกของการเมืองที่เต็มไปด้วยการช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ มีหลายครั้งที่ผู้ที่เคยผงาดค้ำฟ้ากลับต้องหมาป่วยไร้เสียงอย่างน่าประหลาดใจ และหนึ่งในกรณีที่สร้างความเคลือบแคลงใจให้กับสังคมไทยมากที่สุดในขณะนี้คือ ปรากฏการณ์ความเงียบกริบของอดีตผู้นำที่ครั้งหนึ่งเคย “เสือก” ทุกเรื่องอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในเวทีการเมืองทั้งในและนอกประเทศ กลับต้องนิ่งสงบเมื่อเผชิญหน้ากับ “ฮุนเซน” มหาอำนาจแห่งกัมพูชา คำถามที่หลายคนตั้งคือ อะไรคือเบื้องหลังความนิ่งงันนี้?

และใครกันแน่ที่กำลังกุมอำนาจเหนือกว่าในเกมที่ซับซ้อนนี้?
นี่คือคำตอบที่อาจไขปริศนาความสัมพันธ์อันเปราะบางและเต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนนี้…


อาณาจักรชินวัตรในกัมพูชา : รากฐานที่ถูกซ่อนเร้น

แท้จริงแล้ว เบื้องหลังความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้คือ เครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ของตระกูลชินวัตรที่หยั่งรากลึกในกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียม โทรศัพท์มือถือ เคเบิลใต้ดินใยแก้ว และอีกมากมาย ธุรกิจเหล่านี้คือขุมทรัพย์มหาศาลที่ถูกสร้างขึ้นมานานหลายสิบปี

ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ความพยายามในการ “อำพราง” ตัวตนของตระกูลชินวัตรเริ่มขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อ บริษัท กัมพูชา ชินวัตร จำกัด หรือ “แคมชิน” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เชนนิงตัน อินเวสเม้นท์ส พีทีอี ลิมิเต็ด (โดยมี บมจ.ไทยคม ถือหุ้นร้อยละ 51) ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท เอ็มโฟน จำกัด” ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2552 โดยมีเหตุผลอย่างเป็นทางการว่าเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของสินค้าและบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ “Mfone” ที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากกว่าในกัมพูชา

นายจิโรจน์ ศรีนามวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็มโฟน จำกัด ในขณะนั้น ได้ระบุว่าการเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงชื่อบริษัทเท่านั้น โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการบริหารจัดการภายใน และบริษัทยังคงมุ่งมั่นนำเสนอสินค้าและบริการที่ดีที่สุดต่อไป แม้จะฟังดูเป็นการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจปกติ แต่สำหรับหลายคน นี่คือความพยายามที่จะลบเลือนร่องรอยแห่งอิทธิพลของ “ชินวัตร” ในอาณาจักรเศรษฐกิจกัมพูชา

ปัจจุบัน Mfone ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2536 และได้กลายเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับสองของกัมพูชา มีลูกค้ากว่า 900,000 ราย และมีสถานีฐานครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง แสดงให้เห็นถึงขนาดและอิทธิพลของธุรกิจนี้ในกัมพูชาอย่างชัดเจน

ศึกชิง “ถุงเงิน” : เมื่อ “ทักษิณ” กลายเป็นภัยคุกคามทางธุรกิจของ “ฮุนเซน”

สิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลผู้นำนี้ตึงเครียดถึงขีดสุด ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่คือ “สงครามชิงถุงเงิน” เมื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจขัดกัน ความบาดหมางจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าจุดแตกหักสำคัญคือ ความพยายามของทักษิณที่จะผลักดันให้ประเทศไทยมี “Entertainment Complex” หรือ “Casino” รวมถึง “Casino Online” และ “พรบ. ศูนย์กลางทางการเงิน” หากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ย่อมหมายถึงการดึงเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่กระเป๋าของทักษิณ และที่สำคัญที่สุดคือ คนไทยจะไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเล่นการพนันในกัมพูชาอีกต่อไป

นี่คือสิ่งที่ศาสตราจารย์ Michael E. Porter จาก Harvard Business School เรียกว่า “Threats of new entrants” หรือ “ภัยคุกคามจากผู้เข้าสู่ธุรกิจรายใหม่” ทักษิณ ชินวัตร ได้ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งโดยตรงในกิจการคาสิโน ซึ่งถือเป็น “ถุงเงินหลัก” ของฮุนเซน การที่ทักษิณจะมาทำลายแหล่งรายได้สำคัญของฮุนเซน ย่อมเป็นสิ่งที่ฮุนเซนไม่อาจยอมรับได้ เพราะเงินคืออำนาจ และการหมดเงินย่อมหมายถึงการหมดอำนาจ

ฮุนเซน ผู้ซึ่งเป็นนักรบเขมรแดงที่สั่งสมประสบการณ์การต่อสู้มาทั้งชีวิต และมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงที่เหนือกว่า ทักษิณ มาก ย่อมจำเป็นต้องทำลายภัยคุกคามนี้ให้ถึงที่สุด สัญญาณที่ชัดเจนคือเมื่อกองทัพภาคที่ 2 ปิดด่านไม่ให้คนไทยข้ามไปเล่นพนันในเขมร ทำให้ ฮุนเซน โกรธจัดและมองว่านี่คือเกมร้ายกาจทางธุรกิจที่ถูกวางแผนมาเพื่อ “ฆ่า” คู่แข่ง

บาดแผลในอดีต : แค้นที่ฝังลึกจาก “รัฐประหารเงียบ”

นอกเหนือจากผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ขัดแย้งกันแล้ว ยังมี “ความแค้นส่วนตัว” ที่ฝังลึก ระหว่างฮุนเซนและทักษิณ ย้อนกลับไปในอดีต ฮุนเซนมีความแค้นแสนสาหัสที่ทักษิณไปตัดสัญญาสัมปทานโทรทัศน์ช่อง 5 ในกัมพูชาจาก 99 ปี เหลือเพียง 25 ปี

มีข้อมูลระบุว่าทักษิณเคยพยายามส่งคนไทยไปทำรัฐประหารฮุนเซนในกัมพูชา แต่ถูกจับได้เสียก่อนจนต้องหนีเอาชีวิตรอดกลับมา อาจารย์โต้ง ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ผู้ล่วงลับ เคยเล่าว่าฮุนเซนเคยบอกกับเขาว่า “จำทักษิณได้ชั่วชีวิตไม่มีวันลืม มันส่งคนมาทำรัฐประหารผม” หากเรื่องนี้เป็นจริง แสดงให้เห็นถึงความแค้นที่ฝังลึกและไม่เคยจางหายไปจากใจของฮุนเซนเลย

ยุทธวิธี “บีบไข่” : แผนการแก้แค้นของฮุนเซนที่กำลังเผยไต๋

เมื่อ “แค้นเก่า” มาบรรจบกับ “ผลประโยชน์ใหม่” ฮุนเซนจึงเริ่มเดินหมากในเกมแห่งการแก้แค้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและแยบยล ดังนี้:

  1. พูดลำเลิกบุญคุณ ทวงข้าวแดงแกงร้อน: โดยใช้บุคคลอื่น คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นสื่อกลาง ซึ่งแท้จริงแล้วคือการ “ตีวัวกระทบคราด” ทักษิณ
  2. ปล่อยคลิปลับสนทนาระหว่าง ฮุนเซน กับ อุ๊งอิ๊ง: ทำให้ “อุ๊งอิ๊ง” หมดสภาพและตกเป็นเป้าโจมตีว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีขายชาติ” เกมนี้รุนแรงและโหดเหี้ยมอย่างมาก
  3. เตรียมปล่อยคลิปอื่นๆ อีกมากมาย: ซึ่งอาจรวมถึงคลิปการเจรจาลับระหว่างทักษิณกับฮุนเซนที่แอบบันทึกไว้ตลอด
  4. ปล่อยรูปห้องนอนของทักษิณและยิ่งลักษณ์ในบ้านของฮุนเซน: เพื่อข่มขู่และเตรียมการ “Blackmail”
  5. ขู่ว่าจะปล่อยคลิปลับกิจกรรมทางเพศที่แอบถ่ายไว้: เนื่องจากทักษิณและยิ่งลักษณ์เคยไปพักอาศัยในช่วงลี้ภัยที่บ้านของฮุนเซน
  6. สัญญาณอันตรายต่อชีวิต: การที่กัมพูชาเคยส่งมือปืนมาสังหารศัตรูทางการเมืองในกรุงเทพฯ บ่งชี้ว่าชีวิตของคนในตระกูลชินวัตรตกอยู่ในอันตรายอย่างมากในเวลานี้
  7. ประกาศยึดทรัพย์นักการเมืองไทยที่ลงทุนฟอกเงินในกัมพูชา: ตระกูลชินวัตรมีบ้านและกิจการมากมายในกัมพูชา รวมถึงธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งหมายความว่าทักษิณและครอบครัวอาจต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่
  8. มาตรการล้างแค้นอื่นๆ ที่คาดเดาได้ยาก: เพราะฮุนเซนคือนักรบตัวจริงที่รบมาทั้งชีวิตและหักหลังคนอื่นมาแล้วมากมายเพื่ออำนาจและผลประโยชน์

ในเกมที่อำนาจและผลประโยชน์ถูกวางเดิมพันสูงสุดนี้ ดูเหมือนว่า “ระบอบฮุนเซน” กำลังบีบให้ “ระบอบทักษิณ” ต้องศิโรราบ และไม่สามารถเผยอขึ้นมาแข่งขันหรือขัดผลประโยชน์ได้โดยเด็ดขาด หากไม่ต้องการมีอันเป็นไป

สำหรับพี่น้องชาวไทย สิ่งที่เราอาจทำได้ในตอนนี้คือ เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และนั่งอยู่บนภูดูความล่มสลายของตระกูลชินวัตรที่กำลังเผชิญหน้ากับนักรบตัวจริงอย่างฮุนเซน นี่คือเกมที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน เล่ห์เหลี่ยม และบาดแผลจากอดีต ที่กำลังจะเปิดเผยบทสรุปในไม่ช้า

ท้ายบท
นี่คือยุทธการ “บีบไข่” ที่อาจไม่ใช่เรื่องการเมืองไทยล้วน ๆ แต่คือเกมแค้นของสองผู้ยิ่งใหญ่ — “ทักษิณ” แห่งไทย กับ “ฮุนเซน” แห่งเขมร ที่วันนี้ไม่ใช่พันธมิตรอีกต่อไป แต่คือศัตรูที่ไม่มีวันให้อภัย


ที่มา: รศ. ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์, สาขาวิชาสถิติศาสตร์, สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล, สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง, คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

#สืบจากข่าว รายงาน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts