“…เสียงปืนที่ชายแดน ยังไม่ดังเท่าเสียงท้าทายจาก “วีระ สมความคิด” ที่อัด “อนุทิน” ไม่จริงใจแก้ปัญหาชาติ ซัดภาพน้ำตาเป็นแค่ “ละครการเมือง” ท้าลั่น “ให้ผมเป็นนายกฯ 4 เดือน” จะล้างบางสแกมเมอร์-ทวงอธิปไตยให้ดู… ถาม “ปัญหาอยู่ที่เขมร หรืออยู่ที่ “ผู้นำไทย” ที่ไม่กล้า”?..”





“สืบจากข่าว” ทำการถอดรหัสบทวิเคราะห์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จาก “วีระ สมความคิด” หลังเกิดเหตุปะทะล่าสุดที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งทหารไทยต้องสูญเสียอวัยวะ (ขาขาด) เป็นรายที่ 7 และนำไปสู่ท่าที “ขึงขัง” ของนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศว่า “ปฏิญญาสันติภาพ” ที่เพิ่งลงนามไปนั้น “ยุติ” แล้ว
ประเด็นที่ต้องจับตาคือ เหตุการณ์นี้มี “ความคล้ายคลึง” อย่างน่าสงสัย กับการปะทะรอบที่แล้วในเดือนกรกฎาคม
ยุทธวิธีซ้ำรอย: สร้างเหตุ สกัดปักปัน?
นายวีระ ตั้งข้อสังเกตว่า รูปแบบการสร้างสถานการณ์มีความชัดเจน ก่อนการปะทะในเดือนกรกฎาคม เขมรก็รุกล้ำเข้ามาขุดคูเลจที่ช่องบก วางระเบิดจนทหารไทยขาขาด และมีการปะทะประปราย ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน โดยมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าการปะทะทั่วไป
เป้าหมายนั้นคือการนัดหมายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ที่กำลังจะมาถึง (วันนี้ 13 พฤศจิกายน) ที่จะมีการสำรวจและเก็บกู้กับระเบิด เพื่อเตรียม “ปักหลักหมุด” ให้ถี่ขึ้นทุก 25 เมตร ตามแนวเส้นที่อ้างสิทธิ์ทั้งสองฝ่าย (เส้นสีแดงของกัมพูชา และเส้นสีน้ำเงินของไทย) โดยเฉพาะในพื้นที่ขัดแย้งหลักเขตที่ 42-43 (บ้านหนองหญ้าแก้ว) และหลักเขต 46-47 (บ้านหนองจาน)
“ผมเชื่อว่านี่คือสาเหตุหนึ่งที่มันต้องมายิงกันตรงนี้… เพราะว่าวันจันทร์ที่ 17 เนี่ย มันจะต้องเริ่มที่จะสำรวจและจะปักหลักหมุด” วีระกล่าว
นายวีระยังเปิดเผยว่า ตนได้รับอนุญาตจากกองทัพภาคที่ 1 ให้เป็นตัวแทนภาคประชาชนเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ในวันดังกล่าวด้วย และเชื่อว่านี่คืออีกสาเหตุที่กัมพูชาต้อง “ล้ม” กำหนดการนี้ พร้อมอ้างว่ามีข่าวกรองว่าตนเป็นเป้าหมายลอบสังหารจากสไนเปอร์
คำถามเชิงวิเคราะห์ที่เกิดขึ้นคือ: การปะทะครั้งนี้ เป็นเพียงการยิงลองเชิง หรือเป็นปฏิบัติการที่ไตร่ตรองไว้แล้ว เพื่อสกัดกั้นกระบวนการ JBC ในพื้นที่ทับซ้อนสำคัญ ที่อาจทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ?
“ละครการเมือง” หรือ “ภาวะผู้นำ” แท้จริง?
ปมร้อนไม่ได้มีแค่ที่ชายแดน แต่ลามมาถึงทำเนียบรัฐบาล เมื่อนายกฯ อนุทิน แสดงท่าทีแข็งกร้าวหลังเหตุการณ์ทหารขาขาด ทั้งการขึ้นไปร้องเพลงชาติบนภูมะเขือ และภาพการปาดน้ำตาระหว่างปลอบขวัญทหาร
นายวีระตั้งคำถามถึง “ความจริงใจ” ต่อการกระทำดังกล่าว “ถ้านายกฯ อนุทิน ทำออกมาจากความรู้สึกภายในที่แท้จริง ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ถ้าแค่เล่นละคร… ก็ต้องรับผิดชอบ”
โจทย์ใหญ่ที่นายวีระท้าทายคือ หากนายกฯ จริงจัง รัฐบาลต้องสนับสนุนกองทัพเต็มที่ในการรักษาอธิปไตย และต้องไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนในอดีต
“สืบจากข่าว” ชวนตั้งคำถามถึงบทเรียนราคาแพงในอดีต ที่ “แม่ทัพกุ้ง” (อดีตแม่ทัพภาคที่ 2) เคยหลุดปากว่า “มีคำสั่งให้หยุดยิง” จนต้องกลับคำในภายหลัง นายวีระชี้ว่า หากมีการปะทะรอบใหม่ ห้ามมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง หรือ “คำสั่งลึกลับ” ที่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของทหารอีก
นี่คือการแสดงภาวะผู้นำที่เด็ดขาด หรือเป็นเพียงการแสดงบทบาททางการเมืองเพื่อสร้างคะแนนนิยม ท่ามกลางวิกฤตศรัทธา?
เกมมหาอำนาจ: เมื่อไทยถูกบีบให้ “เลือกข้าง”
นายวีระวิเคราะห์ว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ไม่ได้มีแค่สองฝ่าย แต่มี “มือที่สาม” อย่างมหาอำนาจที่จ้อง “สอดมือ” เข้ามาแทรกแซง ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย สหรัฐฯ หรือจีน
เขามองว่า ปฏิญญาสันติภาพที่เพิ่งล้มไป คือหนึ่งในเครื่องมือแทรกแซงนั้น และวิจารณ์นโยบายต่างประเทศของไทยในยุครัฐบาลก่อน (พล.อ.ประยุทธ์) ที่ “ไม่ชัดเจน” เดี๋ยวไปลงนามกับจีน แล้วก็กระโดดไปเข้าร่วมอินโด-แปซิฟิกกับสหรัฐฯ ทำให้จีนโกรธและหันไปสนับสนุนกัมพูชาเต็มที่
“สหรัฐฯ มันไม่ได้ต้องการสันติภาพ มันต้องการเข้ามายันจีน… มันมีแต่ผลประโยชน์” วีระกล่าว
การที่นายกฯ ประกาศไม่สนสหรัฐฯ อดีตทูตบางคนมองว่าเป็นการผลักไสอเมริกาไปหากัมพูชา แต่วีระมองว่าไทยต้องเลือก “ผลประโยชน์ชาติ” มากกว่าการถูกมหาอำนาจบงการ และย้ำว่าไทยต้องวางตัวเป็นกลางอย่างแท้จริง
การดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ “เอนไปเอนมา” กำลังทำให้ไทยสูญเสียจุดยืน และกลายเป็นเพียง “สนามประลองกำลัง” ของมหาอำนาจหรือไม่?
จาก “เฉินจื้อ” ถึงชายแดน: ปัญหาอยู่ที่ “ความกล้า”
บทวิเคราะห์ของวีระเชื่อมโยงความมั่นคงชายแดน เข้ากับปัญหาการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในประเทศ โดยเฉพาะแก๊งสแกมเมอร์ และกลุ่มทุนสีเทาอย่าง “เฉินจื้อ”
เขาตั้งคำถามว่า ในขณะที่สหรัฐฯ ใช้กฎหมายฟอกเงินยึดทรัพย์เครือข่ายนี้ แต่เหตุใด ปปง. และรัฐบาลไทยถึง “เฉย” ทั้งที่มีกฎหมายในมือ “นายกฯ อนุทิน ก็พูดแต่ปากว่าจะตั้งคณะกรรมการ… มันขาดอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือ ความกล้าหาญ และความจริงจังจริงใจในการแก้ปัญหา”
นายวีระถึงกับท้าทายว่า “ให้อนุทินทำงานครบ 4 เดือน แล้วให้วีระเป็นนายกฯ บ้าง 4 เดือน กล้ามั้ยล่ะ” โดยอ้างว่าตนไม่มีพวกพ้อง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงกล้าสั่งการจัดการปัญหา ทั้งเว็บพนัน สแกมเมอร์ และอธิปไตยชายแดนได้ทันที
ข้อเสนอนี้สะท้อนภาพว่า ตราบใดที่ “ผลประโยชน์พวกพ้อง” ยังใหญ่กว่า “ผลประโยชน์ชาติ” การแก้ปัญหาของประเทศ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่อย่างอธิปไตย ก็ยังคงเป็นการ “ลูบหน้าปะจมูก” และ “ซื้อเวลา” ไปวันๆ ใช่หรือไม่?
#สืบจากข่าว รายงาน



