“…ควันปืนชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่จางหาย! ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาด และโดรนปริศนาบินล้ำน่านฟ้าไม่เว้นวัน การตัดสินใจ “ระงับ” ปฏิญญาสันติภาพ KL Accord ของนายกรัฐมนตรี ได้จุดชนวนวิกฤตซ้อนวิกฤต เมื่อสหรัฐฯ (ยุคทรัมป์) ขยับไพ่ “ภาษี” กดดันไทยทันที! ท่าทีที่ถูกสวนกลับด้วยการที่จีน “ขอซื้อข้าว 5 แสนตัน” ประหนึ่งการ “ตบหน้า” อเมริกากลางสี่แยก!
“สืบจากข่าว” เจาะลึกปมร้อนที่ซ่อนอยู่ใต้พรมแดนนี้… มันคือ “ดีลลับ” อะไร? ข้อกล่าวหาเรื่องการยก “RARE EARTH” ให้สหรัฐฯ ฟรีๆ คือ “ดีลอัปยศ” ระดับ “ขายชาติ” ที่เป็นสาเหตุแท้จริงของการถูกกดดันใช่หรือไม่? และในขณะที่เขมรรุกรานอธิปไตยไม่หยุดหย่อน คำถามจึงดังไปถึงรัฐบาล (ที่มีนายอนุทินรับรู้เรื่องเคลียร์กับทรัมป์) ว่า…เหตุใดเราจึงไม่รบ? …”
1. วิเคราะห์สันติภาพลวงตา: หยุดยิง แต่เสียดินแดน!
สถานการณ์ชายแดนหนองหญ้าแก้ว ปะทุขึ้นอีกครั้งหลังทหารไทยตกเป็นเหยื่อกับระเบิด แม้จะมีการยิงตอบโต้ แต่ประเด็นที่ต้องขยี้ คือ “ปฏิญญาสันติภาพ” (KL Accord) ที่ไทยเพิ่งลงนามไปก่อนหน้านี้ การวิเคราะห์จากฝ่ายความมั่นคง โดย ไพศาล พืชมงคล ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดมหันต์ของการหยุดยิงครั้งนี้
“เราไปลงนามหยุดยิงเฉยๆ ในขณะที่เขมรมันยึดดินแดนเราอยู่อีก 12 จุด” นี่คือการตอกย้ำว่า การหยุดยิงในภาวะที่ข้าศึกยังคาอยู่ในพื้นที่ ย่อมเท่ากับการ “ยอมรับ” การสูญเสียดินแดนโดยพฤตินัย
ซ้ำร้าย ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้หยุดการรุกรานจริง การส่งทหารเข้ามาวาง “ทุ่นระเบิดใหม่” (ที่พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ของเก่า) จนทหารไทยขาขาดไป 11 นาย, การส่ง “โดรน” ลาดตระเวนล้ำอธิปไตยไทยวันละ 50-100 ลำ (บางครั้งลึกถึงกองบัญชาการภาคที่ 2 โคราช) และการ “ซุ่มยิง” ทหารไทยรายวัน เหล่านี้คือการ “รุกราน” ที่เกิดขึ้นทุกวันภายใต้เงาของคำว่าสันติภาพ
คำถามคือ: ในสงครามข่าวสารที่กัมพูชา “โกหกชาวโลก” ว่าไทยเป็นฝ่ายรังแก เหตุใดกลไกการตอบโต้ของไทยจึงทำได้เพียง “ประท้วงทางการทูต” จนหมดกระดาษไปหลายเล่ม?
2. เปิดปม ‘RARE EARTH’ สินแร่ขายชาติ?
การที่นายกรัฐมนตรีสั่ง “ระงับ” KL Accord เพราะทนแรงกดดันจากประชาชนไม่ไหว ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ แต่สิ่งที่ตามมาคือการขยับของมหาอำนาจทันที ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศ “หยุดเจรจาทางภาษี” กับไทยทันควัน
นี่คือจุดที่ “ไพศาล” ชี้ถึงความเชื่อมโยงที่น่าสะพรึงกลัว มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในการลงนามสันติภาพครั้งนั้น ไทยอาจไม่ได้ลงนามแค่การหยุดยิง แต่มีการแอบแฝงข้อตกลง “แรร์เอิร์ธ” (Rare Earth) ทรัพยากรล้ำค่าหายาก ที่ถูกยกให้สหรัฐฯ “ฟรีๆ”…?
“แรร์เอิร์ธ” มีมูลค่ามหาศาลเพียงพอที่จะตั้งเงินเดือนให้คนไทย 70 ล้านคน คนละ 20,000 บาท ได้นานถึง 20 ปี การกระทำนี้จึงถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่าเป็นการ “ขายชาติ” หรือไม่?
การที่สหรัฐฯ ใช้เรื่องภาษีมาบีบไทยทันทีหลังเราระงับ KL Accord ยิ่งตอกย้ำว่า “แรร์เอิร์ธ” อาจคือหัวใจสำคัญของข้อตกลงนี้ใช่หรือไม่? และนี่คือโอกาสทองที่ไทยควร “ยกเลิก” ข้อตกลงแรร์เอิร์ธที่อัปยศนี้ทันทีในเมื่อสหรัฐฯ เป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน หรือรัฐบาลจะยัง “กลัว” อะไรอยู่?
3. เกมมหาอำนาจ: เมื่อจีน “ขอซื้อข้าว” ตบหน้าอเมริกา
ในจังหวะที่ไทยถูกสหรัฐฯ กดดันอย่างหนัก พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เสด็จเยือนจีน กลับสร้างปรากฏการณ์สั่นสะเทือนภูมิรัฐศาสตร์
การต้อนรับอย่างสมพระเกียรติขั้นสูงสุดในฐานะ “ครอบครัวเดียวกัน” ถูกสะท้อนผ่านการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง “กราบบังคมทูล ขอซื้อข้าวไทยเพิ่มอีก 500,000 ตัน” (นอกเหนือจากโควตาปกติ) นี่ไม่ใช่แค่การค้า แต่คือการ “ถวายพระเกียรติ” และการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ชัดเจน
ท่าทีของจีนที่ใช้ “ไมตรี” และ “การให้เกียรติ” สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับสหรัฐฯ ที่ใช้ “การข่มเหง” (ภาษีทรัมป์) แม้ไทยจะเป็นมิตรเก่าแก่ที่เคยร่วมรบทั้งในเวียดนามและเกาหลี “คนไทยรักสงบ แต่เกลียดการข่มเหงรังแก” นี่คือสาส์นเตือนที่ส่งตรงถึงรัฐบาลทรัมป์
การที่ไทยขาดดุลการค้าจีนมหาศาล แต่ได้ดุลสหรัฐฯ ถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้า ทั้งที่เป็นตรรกะวิบัติ “คนไทยจะซื้อรถจีนคันละ 8 แสน หรือซื้อรถสหรัฐฯ คันละ 10 ล้าน?” สินค้าจีนราคาถูกเพราะกลไกตลาด ไม่ใช่เพราะรัฐบาลบังคับ แต่สหรัฐฯ กลับใช้ตรรกะ “America First” สร้างศัตรูทั่วโลก
4. วิเคราะห์เขมร: มิตรหรืออสรพิษ?
หลายฝ่ายกังวลว่าหากไทยรบกับเขมร จะกลายเป็นสงครามตัวแทน “จีนหนุนไทย อเมริกาหนุนเขมร” แต่ “ไพศาล” วิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศมองว่า “อเมริกาไม่มีทางหนุนเขมร”
ประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่า “เขมร” คือชาติที่ทรยศหักหลังมากที่สุดในภูมิภาคนี้:
- หักหลังสหรัฐฯ: สหรัฐฯ ลงทุนสร้างฐานทัพเรือที่ “เรียม” มหาศาล แต่ถูกฮุนเซนตบหน้าฉาดใหญ่ ยกฐานทัพให้ “จีน” เข้ามาใช้
- หักหลังจีน: พอจีนไม่ขายโดรนทิ้งระเบิดให้ และไม่ให้รหัสยิงขีปนาวุธ (ที่ยิงถึงโคราช) เขมรก็โกรธ แอบส่ง “ฮุนมาเนต” ไปเซ็นเข้าร่วมยุทธศาสตร์ “อินโด-แปซิฟิก” ของสหรัฐฯ ที่ฮาวาย ซึ่งมีเป้าหมายคือการปิดล้อมจีน
- หักหลังเวียดนาม: แม้จะเป็นผู้มีพระคุณ แต่ก็ถูกหักหลัง
- หักหลังพวกเดียวกัน: ทรยศ พล พต, เขียว สัมพันธ์, เฮง สัมริน, เจีย ซีม จนถึงเตีย บัญ
พฤติกรรม “หมาหัวเน่า” ที่พร้อมหักหลังทุกคน ทำให้กัมพูชาไร้ซึ่งมิตรแท้ การที่สหรัฐฯ หรือจีนจะทุ่มสุดตัวหนุนเขมร จึงเป็นไปได้ยาก
5. ทางสามแพร่ง กองทัพไทย: จะรบเพื่อ “ป้องกัน” หรือ รบเพื่อ “เอาคืน”?
เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด กองทัพไทยที่ระดมกำลังไปที่ชายแดน กำลังเผชิญหน้ากับคำถามสำคัญ ว่าเป้าหมายของปฏิบัติการครั้งนี้คืออะไร?
- เป้าหมายที่ 1 ป้องกัน : รักษาสถานะเดิม คอยยิงสกัดไม่ให้รุกล้ำเพิ่ม (ซึ่งสิ้นเปลืองและไม่จบสิ้น)
- เป้าหมายที่ 2 ยึดคืน: ใช้โอกาสนี้เข้ายึดดินแดน 12 จุด ที่ถูกยึดไประหว่างหยุดยิง กลับคืนมาทั้งหมด และทำลายฐานสนับสนุนของข้าศึก
- เป้าหมายที่ 3 บุกยึด: ทำสงครามเต็มรูปแบบ เข้ายึดพนมเปญ เสียมราฐ พระตะบอง และเกาะกง
“ไพศาล” ชี้ว่า การใช้ “กำลังผสม” ที่ระดมจากหลายพื้นที่ ไปสู้กับ “กำลังประจำการ” ของเขมรที่ขุดบังเกอร์ฝังตัวถาวร (มี 24 กองพัน) ทำให้ไทยเสียเปรียบด้านภูมิประเทศและสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล (2 เดือน 10,000 ล้านบาท)
นี่คือระเบิดเวลาที่ไม่ต่างจากปัญหาภาคใต้ที่สูบงบประมาณไปปีละ 20,000 ล้านบาท ตลอด 21 ปี โดยที่เหตุการณ์ไม่เคยสงบ
การทำสงครามเพื่อ “ทวงคืนอธิปไตย” ใน 12 จุดนั้น ถือเป็น “สงครามที่เป็นธรรม” ที่ต้องได้รับชัยชนะหรือไม่? และกองทัพไทยได้กำหนด “เป้าหมาย” ที่ชัดเจนแล้วหรือยัง หรือเรากำลังจะเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่รบไป สูญเสียไป โดยไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน?
#สืบจากข่าว รายงาน



