“…ด้วยหลักวิธีที่เป็นวิทยาศาสตร์ของทฤษฎีว่าด้วยการปฏิบัติ ว่าด้วยความขัดแย้ง และทฤษฎีอื่นๆของเหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง เจียงเจ๋อหมิน หูจิ่นเทา และสีจิ้นผิง บัดนี้จีนได้เคลื่อนตัวเองไปสู่อนาคตอย่างรวดเร็ว สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่มวลมนุษยชาติอย่างชัดเจน การที่จีนสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมจีนมาได้เช่นทุกวันนี้ ก็เพราะพวกเขาเลิกนำเอาทฤษฎีสำเร็จรูปใดๆมาใช้ชี้นำการปฏิบัติของตนเอง ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของพวกเขาล้วนแต่มาจากประสบการณ์ความรับรู้ครั้งแล้วครั้งเล่าของมวลชน ในที่สุดได้ผ่านมติสรุปบทเรียนความล้มเหลวทางด้านวิธีคิดที่ไม่เริ่มจากความเป็นจริงของจีนเอง มาเป็นการปลูกฝังวิธิคิดที่ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง “หาสัจจะจากความเป็นจริง” ทำให้ประเทศจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนับตั้งแต่กลางทษวรษ1930 เป็นต้นมา สามารถเดินหน้าสร้างชัยชนะและความสำเร็จอย่างต่อเนื่องดุจปาฏิหาริย์ นี่คือจุดเริ่มต้นการเมืองภาคประชาชนในฐานะเป็นอำนาจกำหนดการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยครั้งนี้ก็เช่นกันได้ประกาศจุดยืนแล้วว่าไม่เอารัฐประหารและไม่เอาการเมืองเลือกตั้งของพรรคการเมืองกลุ่มทุน แต่จะเอาแต่ประชาชนทุกฝ่ายที่มาร่วมกันเป็นเจ้าภาพทำการเปลี่ยนแปลงใหญ่และปรับปรุงใหม่ประเทศไทยให้ปรากฏเป็นจริง…”
จับทางจีน正视中国
สันติ ตั้งรพีพากร陈俊泰
เริ่มจากความเป็นจริง บนฐานของประชาชน
从实际出发。以人民为本
ในการนำเสนอแนวคิด”ทุกอย่างเริ่มจากตวามเป็นจริง” คือเริ่มจากความเป็นจริงของสังคมโลกและสังคมไทย ผู้เขียนยึดหลักปรัชญาว่าด้วยการปฏิบัติ”หาสัจจะจากความเป็นจริง” มุ่งชี้นำให้ขบวนการการเมืองภาคประชาชนมิต้องไปยึดติดกับความคิดทฤษฎีสำเร็จรูปใดๆ แม้กระทั่งทฤษฎีชี้นำของพรรคฯจีนทั้งในห้วงปฏิวัติและพัฒนา
อีกนัยหนึ่ง เราศึกษาวิธีการที่พวกเขาได้มาซึ่งทฤษฎีชี้นำมากกว่าตัวทฤษฎีที่พวกเขาใช้นำไปแก้ปัญหา จนกระทั่งประสบความสำเร็จชนิด”รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
ด้วยหลักวิธีที่เป็นวิทยาศาสตร์ของทฤษฎีว่าด้วยการปฏิบัติ ว่าด้วยความขัดแย้ง และทฤษฎีอื่นๆของเหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง เจียงเจ๋อหมิน หูจิ่นเทา และสีจิ้นผิง บัดนี้จีนได้เคลื่อนตัวเองไปสู่อนาคตอย่างรวดเร็ว สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่มวลมนุษยชาติอย่างชัดเจน
แน่นอนที่สุด ตัวอย่างของความสำเร็จของจีน เราจะต้องทำการศึกษา แต่ต้องอย่าหลงไปศึกษาเพื่อเลียนแบบการกระทำของพรรคจีน
จงรู้ด้วยว่า การที่จีนสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมจีนมาได้เช่นทุกวันนี้ ก็เพราะพวกเขาเลิกนำเอาทฤษฎีสำเร็จรูปใดๆมาใช้ชี้นำการปฏิบัติของตนเอง
ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของพวกเขาล้วนแต่มาจากประสบการณ์ความรับรู้ครั้งแล้วครั้งเล่าในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชน
ในมุมมองของผู้เขียน ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของจีนเผชิญกับปัญหาท้าทายสองประการ คือ
1.ในยุคปฏิวัติที่นำโดยดร.ซุนยัดเซน ได้พัฒนาทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติโดยอิงกับทฤษฎีการปกครองของชาติตะวันตก แม้สามารถล้มราชวงศ์แมนจูได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถสามัคคีคนจีนทั้งประเทศเข้าด้วยกัน
2. มาในช่วงต้นของการเคลื่อนไหวปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็รับเอาทฤษฎีลุกขึ้นสู้ในเมืองของสหภาพโซเวียตมาเป็นแนวทางหลักในการเคลื่อนไหวปฏิบัติ แต่ก็ไปไม่รอด
ในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้ผ่านมติสรุปบทเรียนความล้มเหลวทางด้านวิธีคิดที่ไม่เริ่มจากความเป็นจริงของจีนเอง มาเป็นการปลูกฝังวิธิคิดที่ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง “หาสัจจะจากความเป็นจริง”
ทำให้ประเทศจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนับตั้งแต่กลางทษวรษ1930 เป็นต้นมา สามารถเดินหน้าสร้างชัยชนะและความสำเร็จอย่างต่อเนื่องดุจปาฏิหาริย์
จากกรณีศึกษาของจีนนี้ สิ่งที่ผู้เขียนขอไฮไลท์ขึ้นมาก็คือ การเคลื่อนไหวต่อสู้เปลี่ยนแปลงใดๆต้องมีทฤษฎีชี้นำ และทฤษฎีชี้นำที่ว่าจะต้องมาจากการสรุปบทเรียนจากการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชนภายใต้การนำของตนเอง
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ขบวนการการเมืองถาคประชาชนในฐานะเป็นอำนาจกำหนดการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยครั้งนี้ซึ่งจะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่วแน่ ภายหลังได้ประกาศจุดยืนแล้วว่าไม่เอารัฐประหารและไม่เอาการเมืองเลือกตั้งของพรรคการเมืองกลุ่มทุน แต่จะเอาแต่ประชาชนทุกฝ่ายที่มาร่วมกันเป็นเจ้าภาพทำการเปลี่ยนแปลงใหญ่และปรับปรุงใหม่ประเทศไทยให้ปรากฏเป็นจริง!
ไขคำจีน
从实际出发
ฉงสือจี้ชูฟา เริ่มจากความเป็นจริง