“จีนกำลังปรับเปลี่ยนตัวเองจาก “โรงงานของโลก” มาเป็น “ตลาดของโลก” เพิ่มสัดส่วนอุตสาหกรรมภาคบริการ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว, อาหาร, ละครซีรีส์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ฯลฯ เพิ่มอำนาจการต่อรองในเวทีโลก และนั่นอาจสร้างโอกาสใหม่เอสเอ็มอีไทย เชื่อมโยงงานภาคบริการ เข้าหาประชากร 1.4 พันล้านคน”
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษาชั้นแนวหน้าของประเทศไทย กล่าวถึงตลาดจีนในงานเสวนา “พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสใหม่ เอสเอ็มอีไทยเติบโตยั่งยืน” เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ว่า รัฐบาลจีนกำลังปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ จากประเทศที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าของโลก มาเป็นประเทศที่เพิ่มสัดส่วนของอุตสาหกรรมการบริการให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บริการด้านการท่องเที่ยว, ด้านอาหาร, ละครซีรีส์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ฯลฯ เพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพาภาคการผลิตเหมือนเดิม เหมือนกับที่สหรัฐฯได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองมาก่อนหน้านี้ จนกลายเป็นประเทศที่เน้นภาคบริการ และมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการดำเนินงาน ที่สำคัญสหรัฐฯได้กลายเป็น “ตลาดของโลก” (ผู้ซื้อ/นำเข้าสินค้ารายใหญ่) ดังนั้น แม้จะมีประชากรแค่ 1 ใน 4 ของจีน แต่ก็มีอำนาจการต่อรองในเวทีโลกสูง ซึ่งหากจีนปรับเปลี่ยนตัวเองทั้งระบบแล้ว เชื่อว่าอำนาจการต่อรองในเวทีโลก จะมีสูงมากกว่านี้อย่างแน่นอน
รศ.ดร.สมภพ ยังกล่าวถึงโอกาสของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ในสถานการณ์สงครามการค้าว่า หากนำจุดเด่นที่มี ไปเชื่อมโยงกับจีนที่กำลังปรับเปลี่ยนตัวเอง จากเดิมที่เป็น “โรงงานของโลก” มาเป็น “ตลาดของโลก” ได้ ก็น่าจะสร้างโอกาสการเติบโตของเอสเอ็มอีไทยในอนาคต โดย “จุดเด่น” ของเอสเอ็มอีคือ ขนาดธุรกิจไม่ใหญ่มาก ทำให้มีต้นทุนดำเนินการที่ไม่สูง แต่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา
