เมื่อ “ทรัมป์” ประกาศใช้ข้อต่อรองทางภาษี บีบให้รัสเซียยุติสงครามกับยูเครน ภายใน 2 สัปดาห์ จนเครมลินต้องออกมาโต้กลับว่า รัสเซียรับทราบถึงถ้อยแถลงของทรัมป์ แต่ปฏิบัติการพิเศษในยูเครน ยังคงดำเนินต่อไป พร้อมชี้ว่า “มอสโกยังคงทุ่มเท ให้กับกระบวนการสันติภาพ เพื่อแก้ไขความขัดแย้งเกี่ยวกับยูเครน โดยไม่ต้องให้ใครมาบงการ
ทรัมป์ไม่หยุดแค่รัสเซีย แต่ไล่เบี้ยไปยังสมาชิกกลุ่ม “บริกส์” อย่าง อินเดีย ด้วยสูตรเดียวกันคือ ขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดีย 25% หากยังรับซื้อน้ำมันจากรัสเซีย แต่คำตอบที่ได้รับจากรัฐบาลนิวเดลีคือ “อินเดียจะซื้อน้ำมันจากรัสเซีย” ต่อไป
“นเรนทรา โมดี” นายกรัฐมนตรีอินเดีย เรียกร้องให้ประชาชน หันมาซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ระหว่างการปราศรัยในรัฐอุตตรประเทศ เมื่อวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม แม้ว่าเขาไม่ได้กล่าวถึงสหรัฐอเมริกาโดยตรง แต่ถ้อยแถลงมีขึ้นไม่นาน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดีย ในอัตรา 25%
“อินเดีย” กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยทรัมป์ได้วิจารณ์อินเดียที่เข้าร่วมกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา บริกส์ ว่า “พวกเขาจะพาเศรษฐกิจล่มสลายไปด้วยกัน”
ทรัมป์จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่นโยบายของเขา กำลังผลักไส “อินเดีย” ให้แนบแน่นกับ “จีน” มากยิ่งขึ้น ทั้งที่ในอดีต อเมริกาพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอินเดีย เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับจีน
ในขณะที่อินเดีย อาจประเมินว่า การพึ่งพา “ปักกิ่ง” มีอนาตสดใสกว่า ทั้งระบบซัพพลายเชนที่เชื่อมโยงกัน และจำนวนประชากรเมื่อรวมสองประเทศ มากเกือบ 3 พันล้านคน
รัฐมนตรีต่างประเทศสุพราห์มนยัม ไจชังการ์ และรัฐมนตรีกลาโหม ราชนาถ ซิงห์ เดินทางเยือนจีนในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ครั้งแรกในรอบ 5 ปี เพื่อประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ SCO ที่ปักกิ่ง ก่อนจะกลับมาออกวีซ่าท่องเที่ยวให้ชาวจีน ครั้งแรกในรอบ 5 ปี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ดิกซอน เทค บริษัทอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของอินเดีย ได้รับอนุมัติตั้งบริษัทร่วมกับกลุ่มเทคของจีน นำพาสู่ก้าวใหม่ของโลกยุคเอไอ โครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” คือก้าวสำคัญ นำไปสู่โครงการรถไฟความเร็วสูงทั่วอินเดีย
รัฐมนตรีต่างประเทศหวัง อี้ เสนอหลักการอยู่ร่วมกันบนพื้นฐาน “ความเคารพและไว้วางใจ” ขณะที่อินเดียมองจีน เป็น “หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ไม่ใช่คู่แข่ง” ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากจีนเคลื่อนสู่สายการผลิตในอินเดีย นั่นคือผลลัพธ์ที่ได้จากการเผชิญหน้ากันระหว่าง “วอชิงตัน” กับ “มอสโก”