วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 13, 2025

ก.ทรัพย์ฯ ปลดล็อคแผ่นดิน 12.5 ล้านไร่

“…ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมหาศาลต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืดของคำว่า “ผู้บุกรุก” พวกเขาถูกตราหน้าว่าทำผิดกฎหมาย เพียงเพราะความขัดสนและทางเลือกที่จำกัดในการหาเลี้ยงชีพ ณ วันนี้ ผืนป่าสงวนแห่งชาติรวมกว่า 12.5 ล้านไร่ กำลังถูกรัฐบาลใช้เป็นเดิมพันสุดท้ายในการแก้ไขความขัดแย้งที่ฝังรากลึก ด้วยมติคณะรัฐมนตรีปี 2561 โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดพร้อมเป็นแม่งานขับเคลื่อน เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก “ผิดกฎหมาย” ให้เป็น “ถูกกฎหมาย” และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนทั้งไทยและเทศเข้ามาครอบครองพื้นที่เหล่านี้ โดยใช้กลไกการห้ามซื้อขายตลอดไป นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์การจัดการที่ดินของชาติ…”

“คนเราไม่มีเงินอยู่ได้ ถ้าเรามีที่ เราสามารถใช้ที่นั้นทำมาหากินได้ ประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้… อยากให้ย้อนไปนึกถึงตอนที่เกิดโควิด หรือว่าเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ คนที่อยู่ในเมืองทุกคน ลูกหลานกลับไปสู่บ้านหมด”

จุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นในปี 2561 เมื่อมติ ครม. 26 พ.ย. 61 ได้ถือกำเนิดขึ้น เจตนารมณ์หลักคือการแก้ไขปัญหาที่ทำกินและที่อยู่อาศัยในพื้นที่ของรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่แค่กรมป่าไม้ รัฐต้องการ “ขีดเส้นและบล็อกไว้” ว่าประชาชนที่อยู่ผิดกฎหมายเดิมสามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ ภายใต้โครงการ คทช. (โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล) โดยจำกัดพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ และสิทธิที่ได้รับนั้นสามารถตกทอดเป็นมรดกได้ แต่มีข้อแม้ที่เด็ดขาดคือ ห้ามซื้อขาย จ่ายโอน แลกเปลี่ยน หรือปล่อยเช่าโดยเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับความจริงเปิดเผยถึงความล้มเหลวในช่วงแรก พื้นที่กลุ่มที่ 2 (ลุ่มน้ำ 3-5 อยู่ระหว่างปี 45-57) ใช้เวลากว่า 4 ปี (62-66) ในการดำเนินงาน สำเร็จเพียง 774 ไร่ จาก 3.7 ล้านไร่ นี่คือหลักฐานของระบบราชการที่เชื่องช้า ซึ่งทำให้ชาวบ้าน “เสียโอกาส” และ “เกิดความเหลื่อมล้ำสูง”

แต่เมื่อผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสั่งเร่งรัด กรมป่าไม้จึงปรับกระบวนการครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจากการขออนุญาตผ่านผู้ว่าฯ หรือท้องถิ่น (มาตรา 16) มาใช้มาตรา 19 ที่ให้อำนาจแก่อธิบดีกรมป่าไม้โดยตรง และนี่คือหัวใจของการปฏิรูป: ท่านอธิบดีได้ตัดสินใจ กระจายอำนาจ การอนุมัติจากศูนย์กลาง (ส่วนกลาง) ไปสู่ผู้อำนวยการสำนักจัดทรัพยากรป่าไม้ในภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนการปลดล็อก จากที่เคยล่าช้า ในปีเดียวสามารถทำเพิ่มได้ถึง 440,000 ไร่ในกลุ่มที่ 2 และ 1.2 ล้านไร่ในกลุ่มลุ่มน้ำ 1-2

ด้วยการเร่งรัดเชิงนโยบาย พื้นที่ทั้ง 4 กลุ่มเป้าหมายถูกกำหนดให้สำรวจและอนุญาตแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปีงบประมาณ 2569 แม้จะยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน แต่รัฐได้มอบ “สมุดประจำตัวผู้ได้รับอนุญาต” เพื่อยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการผลิตสมุดเล่มจริง กรมป่าไม้ได้พัฒนา “สมุดดิจิทัล” (RFD Book)

สมุดดิจิทัลนี้คืออาวุธสำคัญของประชาชน: เพียงแค่พิมพ์เลขบัตรประชาชนในแอปพลิเคชัน ก็จะปรากฏหน้าสมุดที่มีชื่อ พิกัดแปลง และขนาดพื้นที่ ทำให้พวกเขาสามารถใช้เอกสารนี้ในการติดต่อราชการ หรือขอรับความช่วยเหลือจากรัฐได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เกษตรกรที่ปลูกทุเรียน (หลง-หลินลับแล) ได้ใช้สมุดดิจิทัลนี้เพื่อขอรับรอง GAP (Good Agricultural Practice) สำหรับการส่งออกได้สำเร็จ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจริง
[ภาพ: ข้อความบนจอ (คำพูดเด่นที่ 2)]

“ถึงแม้ท่านยังไม่ได้รับสมุดดิจิทัล… ไม่ต้องกังวลฮะ เพราะระบบฐานข้อมูลนี้ คือผู้บังคับใช้กฎหมายก็คือเจ้าหน้าที่ป่าไม้… ถ้าท่านมั่นใจว่าอยู่ก่อนปี 2557 ท่านก็ไม่ต้องกังวลใจ”

บทเรียนและคำเตือนสุดท้าย:

รัฐได้ยื่น “โอกาสครั้งสุดท้าย” ให้แก่ประชาชนผู้ยากไร้ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างกำแพงเหล็กเพื่อสกัดกั้นนายทุน ระบบการตรวจสอบของกรมป่าไม้จะดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่และให้ผู้ครอบครองมา แสดงตนเป็นระยะ พร้อมถ่ายรูปอัปโหลดขึ้นแอปพลิเคชัน หากมีการซื้อขายหรือเป็นนอมินี ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว การตรวจสอบก็จะพบความผิด และสิทธิในการทำกินที่ได้รับจากรัฐก็จะถูกเพิกถอนไปตลอดกาล นี่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด: ที่ดินผืนนี้คือหลักประกันชีวิตที่ต้องตกทอดสู่ลูกหลาน ห้ามนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา เพื่อให้มั่นใจว่าการแก้ไขปัญหานี้จะ “ไม่ตกอยู่ในมือของนายทุน”

Get notified whenever we post something new!

spot_img

Create a website from scratch

Just drag and drop elements in a page to get started with Newspaper Theme.

Continue reading

หิ้วปีกส่งจีน! สิ้นลาย “เสอ จื้อเจียง” เจ้าพ่อเว็บฉ้อโกง 2.77 ล้านล้าน!

https://youtu.be/BcZZv-X6Juw “...สิ้นลาย “เจ้าพ่อแสนล้าน”! วินาทีที่ “เสอ จื้อเจียง” เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเคเค (KK Park) ถูกตำรวจไทยคุมตัวขึ้นเครื่องบิน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ คือจุดจบของอาณาจักรอาชญากรรมมูลค่ากว่า 2.77 ล้านล้านหยวน (12.63 ล้านล้านบาท) ที่สร้างอยู่บนคราบน้ำตาเหยื่อนับแสนคน นี่คือการปิดฉากการไล่ล่าข้ามชาติที่ยาวนานกว่า 3 ปี ของอดีต “เด็กธรรมดา” จากครอบครัวเกษตรกร ที่ใช้เวลา 20 ปี ไต่เต้าสู่บัลลังก์ “ราชันแก๊งฉ้อโกง” ผู้อยู่เบื้องหลังขุมนรกบนดิน ทั้งเว็บพนัน การค้ามนุษย์ และแม้กระทั่งการค้าอวัยวะ “สืบจากข่าว” ชำแหละเส้นทางจอมบงการผู้นี้ ตั้งแต่ก้าวแรกในโลกมืด สู่การสร้างอัตลักษณ์จอมปลอมเป็น “นักบุญ” ตบตาชาวโลก ก่อนทุกอย่างจะพังทลายลงด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศที่ไร้ซึ่งทางหนี!...” เสอ จื้อเจียง เจ้าพ่อเว็ปฉ้อโกง...

‘สินบนแปรรูป’ ส่วยมาตรฐานโรงพัก! วิรุตม์ ตอกหน้า ‘ผู้นำสีกากี’ “ชินชากับอาชญากรรม”?

https://youtu.be/JKl29XRFpek “...สะเทือนปทุมวัน! หลัง “รองโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ลั่นไกใส่รังเก่าตัวเองว่า “ตำรวจคือองค์กรอาชญากรรมใหญ่สุด” ล่าสุด พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตตำรวจมือปราบ ออกมาขยี้ซ้ำ ยืนยันคำพูดนี้คือ “ความจริง” ที่อาจจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เพราะอาจเป็น “แก๊งอาชญากรที่ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมตั้งคำถามเจ็บแสบถึง “ผู้นำสูงสุด” และ “ผบ.ตร. กิตติรัตน์” ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หรือกลายเป็นส่วนหนึ่งของความชินชาที่กัดกินประเทศนี้ไปแล้ว?...” "ตำรวจไทยในวันนี้คือองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ" วาทะเดือดนี้จากปากของ “รองโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไม่เพียงแต่สร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วทั้งปฐพี “สีกากี” แต่ยังจุดชนวนให้ 4 องค์กรตำรวจ (สมาคมตำรวจ, สมาพันธ์ตำรวจ, ชมรมอาวุโส และองค์กรข้าราชการตำรวจ) ออกมาเคลื่อนไหวตั้งท่าเตรียมฟ้องร้อง "รองโจ๊ก" โทษฐานทำให้องค์กรเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ในมุมมองของ...

ทั้งโลกรู้เท่ากัน “ด้วยสื่อสารล้ำยุค”จะเรียนรู้เลือกผู้นำ “ที่ดี” เหมือนกัน“คือ” ทางเลือกร่วมกันของชาวโลก

“….สังคมโลกประกอบด้วยประชากรร่วม 8000 ล้านคน จาก 200 ประเทศ เนื่องด้วยความก้าวหน้าของการสื่อสารและเทคโนโลยี่ล้ำยุควันนี้ ทำให้ความแตกต่างค่อยๆหายไป ชาวโลกโดยรวมได้รับรู้ในเรื่องเดียวกันในเวลาเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชาวโลกมองเห็นปัญหาไปในทำนองเดียวกัน เกิดความต้องการไปในทำนองเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น แนวโน้มที่การเลือกคณะผู้บริหารประเทศที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชาชนเป็นตัวตั้ง จะกลายเป็นการเลือกสูงสุดร่วมกันของชาวโลก จึงเป็นไปได้สูงมาก นั่นคือ ประเทศที่มีคณะผู้บริหารที่ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ย่อมจะพัฒนาไปได้ดีกว่า เร็วกว่า อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ตัดปัญหาการทุจริตโกงกินไปได้โดยพื้นฐาน อีกทั้งหากโชคดีได้คนดีมีฝีมือฉกาจขึ้นทำหน้าที่ ก็จะเพิ่มพูนโอกาสแห่งความสำเร็จได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่ต้องดูอื่นไกล ประเทศจีนสามารถพัฒนาจนเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ในอัตราที่เร็วยิ่งกว่าประเทศอื่นใด ก็ด้วยแรงสนับสนุนของประขาชนทั้งประเทศ ในสายตาของชาวจีนทั่วไป แผนพัฒนาประเทศก็คือแผนพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเอง ประเทศยิ่งเจริญ พวกเขาก็จะยิ่งสุขสบาย อีกไม่นานนักหรอก คนไทยก็จะเจาะจงเลือกเฉพาะคณะผู้บริหารประเทศที่ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางเท่านั้น โดยไม่แยแสต่อเงินซื้อเสียงแต่ประการใด…” https://youtu.be/WJuJJHLUTb0 ทางเลือกร่วมกันของชาวโลก全球人民的共同选择 บทนี้ ผู้เขียนขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านผู้อ่าน เพราะเป็นความเข้าใจใหม่ของผู้เขียน ยังไม่เคยนำเสนอที่ไหนมาก่อน และยังไม่พบว่ามีใครได้นำเสนอมาก่อนแล้ว ปัจจุบันสังคมโลกประกอบด้วยประชากรร่วม...

Enjoy exclusive access to all of our content

Get an online subscription and you can unlock any article you come across.