“…ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมหาศาลต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืดของคำว่า “ผู้บุกรุก” พวกเขาถูกตราหน้าว่าทำผิดกฎหมาย เพียงเพราะความขัดสนและทางเลือกที่จำกัดในการหาเลี้ยงชีพ ณ วันนี้ ผืนป่าสงวนแห่งชาติรวมกว่า 12.5 ล้านไร่ กำลังถูกรัฐบาลใช้เป็นเดิมพันสุดท้ายในการแก้ไขความขัดแย้งที่ฝังรากลึก ด้วยมติคณะรัฐมนตรีปี 2561 โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดพร้อมเป็นแม่งานขับเคลื่อน เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก “ผิดกฎหมาย” ให้เป็น “ถูกกฎหมาย” และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนทั้งไทยและเทศเข้ามาครอบครองพื้นที่เหล่านี้ โดยใช้กลไกการห้ามซื้อขายตลอดไป นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์การจัดการที่ดินของชาติ…”
“คนเราไม่มีเงินอยู่ได้ ถ้าเรามีที่ เราสามารถใช้ที่นั้นทำมาหากินได้ ประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้… อยากให้ย้อนไปนึกถึงตอนที่เกิดโควิด หรือว่าเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ คนที่อยู่ในเมืองทุกคน ลูกหลานกลับไปสู่บ้านหมด”
จุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นในปี 2561 เมื่อมติ ครม. 26 พ.ย. 61 ได้ถือกำเนิดขึ้น เจตนารมณ์หลักคือการแก้ไขปัญหาที่ทำกินและที่อยู่อาศัยในพื้นที่ของรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่แค่กรมป่าไม้ รัฐต้องการ “ขีดเส้นและบล็อกไว้” ว่าประชาชนที่อยู่ผิดกฎหมายเดิมสามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ ภายใต้โครงการ คทช. (โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล) โดยจำกัดพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ และสิทธิที่ได้รับนั้นสามารถตกทอดเป็นมรดกได้ แต่มีข้อแม้ที่เด็ดขาดคือ ห้ามซื้อขาย จ่ายโอน แลกเปลี่ยน หรือปล่อยเช่าโดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับความจริงเปิดเผยถึงความล้มเหลวในช่วงแรก พื้นที่กลุ่มที่ 2 (ลุ่มน้ำ 3-5 อยู่ระหว่างปี 45-57) ใช้เวลากว่า 4 ปี (62-66) ในการดำเนินงาน สำเร็จเพียง 774 ไร่ จาก 3.7 ล้านไร่ นี่คือหลักฐานของระบบราชการที่เชื่องช้า ซึ่งทำให้ชาวบ้าน “เสียโอกาส” และ “เกิดความเหลื่อมล้ำสูง”
แต่เมื่อผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสั่งเร่งรัด กรมป่าไม้จึงปรับกระบวนการครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจากการขออนุญาตผ่านผู้ว่าฯ หรือท้องถิ่น (มาตรา 16) มาใช้มาตรา 19 ที่ให้อำนาจแก่อธิบดีกรมป่าไม้โดยตรง และนี่คือหัวใจของการปฏิรูป: ท่านอธิบดีได้ตัดสินใจ กระจายอำนาจ การอนุมัติจากศูนย์กลาง (ส่วนกลาง) ไปสู่ผู้อำนวยการสำนักจัดทรัพยากรป่าไม้ในภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนการปลดล็อก จากที่เคยล่าช้า ในปีเดียวสามารถทำเพิ่มได้ถึง 440,000 ไร่ในกลุ่มที่ 2 และ 1.2 ล้านไร่ในกลุ่มลุ่มน้ำ 1-2
ด้วยการเร่งรัดเชิงนโยบาย พื้นที่ทั้ง 4 กลุ่มเป้าหมายถูกกำหนดให้สำรวจและอนุญาตแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปีงบประมาณ 2569 แม้จะยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน แต่รัฐได้มอบ “สมุดประจำตัวผู้ได้รับอนุญาต” เพื่อยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการผลิตสมุดเล่มจริง กรมป่าไม้ได้พัฒนา “สมุดดิจิทัล” (RFD Book)
สมุดดิจิทัลนี้คืออาวุธสำคัญของประชาชน: เพียงแค่พิมพ์เลขบัตรประชาชนในแอปพลิเคชัน ก็จะปรากฏหน้าสมุดที่มีชื่อ พิกัดแปลง และขนาดพื้นที่ ทำให้พวกเขาสามารถใช้เอกสารนี้ในการติดต่อราชการ หรือขอรับความช่วยเหลือจากรัฐได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เกษตรกรที่ปลูกทุเรียน (หลง-หลินลับแล) ได้ใช้สมุดดิจิทัลนี้เพื่อขอรับรอง GAP (Good Agricultural Practice) สำหรับการส่งออกได้สำเร็จ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจริง
[ภาพ: ข้อความบนจอ (คำพูดเด่นที่ 2)]
“ถึงแม้ท่านยังไม่ได้รับสมุดดิจิทัล… ไม่ต้องกังวลฮะ เพราะระบบฐานข้อมูลนี้ คือผู้บังคับใช้กฎหมายก็คือเจ้าหน้าที่ป่าไม้… ถ้าท่านมั่นใจว่าอยู่ก่อนปี 2557 ท่านก็ไม่ต้องกังวลใจ”
บทเรียนและคำเตือนสุดท้าย:
รัฐได้ยื่น “โอกาสครั้งสุดท้าย” ให้แก่ประชาชนผู้ยากไร้ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างกำแพงเหล็กเพื่อสกัดกั้นนายทุน ระบบการตรวจสอบของกรมป่าไม้จะดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่และให้ผู้ครอบครองมา แสดงตนเป็นระยะ พร้อมถ่ายรูปอัปโหลดขึ้นแอปพลิเคชัน หากมีการซื้อขายหรือเป็นนอมินี ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว การตรวจสอบก็จะพบความผิด และสิทธิในการทำกินที่ได้รับจากรัฐก็จะถูกเพิกถอนไปตลอดกาล นี่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด: ที่ดินผืนนี้คือหลักประกันชีวิตที่ต้องตกทอดสู่ลูกหลาน ห้ามนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา เพื่อให้มั่นใจว่าการแก้ไขปัญหานี้จะ “ไม่ตกอยู่ในมือของนายทุน”