วันศุกร์, กันยายน 26, 2025

ก.ทรัพย์ฯ ปลดล็อคแผ่นดิน 12.5 ล้านไร่

“…ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมหาศาลต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืดของคำว่า “ผู้บุกรุก” พวกเขาถูกตราหน้าว่าทำผิดกฎหมาย เพียงเพราะความขัดสนและทางเลือกที่จำกัดในการหาเลี้ยงชีพ ณ วันนี้ ผืนป่าสงวนแห่งชาติรวมกว่า 12.5 ล้านไร่ กำลังถูกรัฐบาลใช้เป็นเดิมพันสุดท้ายในการแก้ไขความขัดแย้งที่ฝังรากลึก ด้วยมติคณะรัฐมนตรีปี 2561 โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดพร้อมเป็นแม่งานขับเคลื่อน เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก “ผิดกฎหมาย” ให้เป็น “ถูกกฎหมาย” และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนทั้งไทยและเทศเข้ามาครอบครองพื้นที่เหล่านี้ โดยใช้กลไกการห้ามซื้อขายตลอดไป นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์การจัดการที่ดินของชาติ…”

“คนเราไม่มีเงินอยู่ได้ ถ้าเรามีที่ เราสามารถใช้ที่นั้นทำมาหากินได้ ประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้… อยากให้ย้อนไปนึกถึงตอนที่เกิดโควิด หรือว่าเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ คนที่อยู่ในเมืองทุกคน ลูกหลานกลับไปสู่บ้านหมด”

จุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นในปี 2561 เมื่อมติ ครม. 26 พ.ย. 61 ได้ถือกำเนิดขึ้น เจตนารมณ์หลักคือการแก้ไขปัญหาที่ทำกินและที่อยู่อาศัยในพื้นที่ของรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่แค่กรมป่าไม้ รัฐต้องการ “ขีดเส้นและบล็อกไว้” ว่าประชาชนที่อยู่ผิดกฎหมายเดิมสามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ ภายใต้โครงการ คทช. (โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล) โดยจำกัดพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ และสิทธิที่ได้รับนั้นสามารถตกทอดเป็นมรดกได้ แต่มีข้อแม้ที่เด็ดขาดคือ ห้ามซื้อขาย จ่ายโอน แลกเปลี่ยน หรือปล่อยเช่าโดยเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับความจริงเปิดเผยถึงความล้มเหลวในช่วงแรก พื้นที่กลุ่มที่ 2 (ลุ่มน้ำ 3-5 อยู่ระหว่างปี 45-57) ใช้เวลากว่า 4 ปี (62-66) ในการดำเนินงาน สำเร็จเพียง 774 ไร่ จาก 3.7 ล้านไร่ นี่คือหลักฐานของระบบราชการที่เชื่องช้า ซึ่งทำให้ชาวบ้าน “เสียโอกาส” และ “เกิดความเหลื่อมล้ำสูง”

แต่เมื่อผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสั่งเร่งรัด กรมป่าไม้จึงปรับกระบวนการครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจากการขออนุญาตผ่านผู้ว่าฯ หรือท้องถิ่น (มาตรา 16) มาใช้มาตรา 19 ที่ให้อำนาจแก่อธิบดีกรมป่าไม้โดยตรง และนี่คือหัวใจของการปฏิรูป: ท่านอธิบดีได้ตัดสินใจ กระจายอำนาจ การอนุมัติจากศูนย์กลาง (ส่วนกลาง) ไปสู่ผู้อำนวยการสำนักจัดทรัพยากรป่าไม้ในภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนการปลดล็อก จากที่เคยล่าช้า ในปีเดียวสามารถทำเพิ่มได้ถึง 440,000 ไร่ในกลุ่มที่ 2 และ 1.2 ล้านไร่ในกลุ่มลุ่มน้ำ 1-2

ด้วยการเร่งรัดเชิงนโยบาย พื้นที่ทั้ง 4 กลุ่มเป้าหมายถูกกำหนดให้สำรวจและอนุญาตแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปีงบประมาณ 2569 แม้จะยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน แต่รัฐได้มอบ “สมุดประจำตัวผู้ได้รับอนุญาต” เพื่อยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการผลิตสมุดเล่มจริง กรมป่าไม้ได้พัฒนา “สมุดดิจิทัล” (RFD Book)

สมุดดิจิทัลนี้คืออาวุธสำคัญของประชาชน: เพียงแค่พิมพ์เลขบัตรประชาชนในแอปพลิเคชัน ก็จะปรากฏหน้าสมุดที่มีชื่อ พิกัดแปลง และขนาดพื้นที่ ทำให้พวกเขาสามารถใช้เอกสารนี้ในการติดต่อราชการ หรือขอรับความช่วยเหลือจากรัฐได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เกษตรกรที่ปลูกทุเรียน (หลง-หลินลับแล) ได้ใช้สมุดดิจิทัลนี้เพื่อขอรับรอง GAP (Good Agricultural Practice) สำหรับการส่งออกได้สำเร็จ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจริง
[ภาพ: ข้อความบนจอ (คำพูดเด่นที่ 2)]

“ถึงแม้ท่านยังไม่ได้รับสมุดดิจิทัล… ไม่ต้องกังวลฮะ เพราะระบบฐานข้อมูลนี้ คือผู้บังคับใช้กฎหมายก็คือเจ้าหน้าที่ป่าไม้… ถ้าท่านมั่นใจว่าอยู่ก่อนปี 2557 ท่านก็ไม่ต้องกังวลใจ”

บทเรียนและคำเตือนสุดท้าย:

รัฐได้ยื่น “โอกาสครั้งสุดท้าย” ให้แก่ประชาชนผู้ยากไร้ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างกำแพงเหล็กเพื่อสกัดกั้นนายทุน ระบบการตรวจสอบของกรมป่าไม้จะดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่และให้ผู้ครอบครองมา แสดงตนเป็นระยะ พร้อมถ่ายรูปอัปโหลดขึ้นแอปพลิเคชัน หากมีการซื้อขายหรือเป็นนอมินี ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว การตรวจสอบก็จะพบความผิด และสิทธิในการทำกินที่ได้รับจากรัฐก็จะถูกเพิกถอนไปตลอดกาล นี่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด: ที่ดินผืนนี้คือหลักประกันชีวิตที่ต้องตกทอดสู่ลูกหลาน ห้ามนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา เพื่อให้มั่นใจว่าการแก้ไขปัญหานี้จะ “ไม่ตกอยู่ในมือของนายทุน”

Get notified whenever we post something new!

spot_img

Create a website from scratch

Just drag and drop elements in a page to get started with Newspaper Theme.

Continue reading

ปฏิรูป-เปิดกว้าง “เพื่อประชาชน”“โดย” พรรคคอมมิวนิสต์จีน“คือ” รหัสลับในมือจีน

“…..เมื่อเราพิจารณาดูทิศทางการบริหารประเทศของรัฐบาลประเทศสำคัญๆอื่นๆของโลก ก็ไม่ปรากฏว่ามีประเทศใดได้ดำเนินนโยบาย"ปฏิรูป-เปิดกว้าง" ได้เช่นเดียวกับจีน ส่วนใหญ่แล้วจะติดอยู่ในกับดักของการแสวงประโยชน์ส่วนตน การแสวงประโยชน์อย่างไม่รู้จบของกลุ่มทุน การผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จของกลุ่มการเมืองอิทธิพลในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น ขณะที่จีนโดยคณะผู้นำที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน มุ่งถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยังผลให้การพัฒนาของพลังการผลิตตามกระบวนการ" ปฏิรูป-เปิดกว้าง" ดำเนินมาได้อย่างต่อเนื่อง และอย่างเสมอต้นเสมอปลาย สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนทั้งประเทศได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในบริบทเช่นที่กำลังเป็นอยู่นี้จีนย่อมจะพัฒนาก้าวหน้าได้เร็วกว่า มากกว่า แน่นอนกว่า ประเทศอื่นๆที่ส่วนใหญ่แล้วกำลังติดหนืดอยู่กับปัญหาร้อยแปด จนจับต้นชนปลายไม่ถูก สร้างความอึดอัดให้แก่ประชาชนมากขึ้นทุกที กระทั่งถึงขั้นต้องก่อการประท้วงจนว่นวายไปทั่วจึงไม่แปลกที่ จีนจะเป็นผู้ยืนอยู่หัวแถว ใช้การ"ปฏิรูป-เปิดกว้าง" กรุยทางไปสู่อนาคตได้ยิ่งกว่าประเทศอื่นใด และในที่สุดแล้วประเทศต่างๆก็จะรับแนวทางการปฏิบัติที่เปรียบเหมือน"รหัสลับ" แห่งความสำเร็จนี้ ไปปรับใช้กับตนเอง เพื่อก้าวไปสู่อนาคตร่วมกัน…” https://youtu.be/uL0y50CQ6SM รหัสลับในมือจีน 中国手中的密码 เป็นที่พิสูจน์ชัดแล้วว่า การปฏิรูปและเปิดกว้าง หรือ "ก่ายเก๋อ-ไคฟ่าง" (改革,开放)ในภาษาจีน ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปีคศ.1978 คือมาตรการหลักในการสร้างเงื่อนไขให้แก่การพัฒนาพลังการผลิตคุณภาพใหม่ในแต่ละห้วงของการขับเคลื่อนประเทศจีน ทำให้ประเทศจีนพลิกโฉมตนเองจากประเทศล้าหลังมาเป็นประเทศก้าวหน้าชนิดลัดสั้นอย่างยิ่ง จนเป็นที่อัศจรรย์ใจไปทั่วโลก และเมื่อชาวโลกมองต่อไปอีกสู่อนาคตยาวไกล ก็จะยิ่งอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้นหากเมื่อพบว่า ด้วยการส่งเสริมอย่างจริงจังด้วยปัญญาตื่นรู้ที่เกิดขึ้นชัดเจนยิ่งขึ้นในหมู่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน...

คทช. กุญแจไขปัญหาที่ดินทำกิน?

กลางความขัดแย้งยืดเยื้อระหว่าง “ป่าไม้ของรัฐ” กับ “ที่ดินทำกินของชาวบ้าน” รัฐบาลเลือกพลิกเกมครั้งสำคัญด้วยการตั้ง คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) กลไกที่ถูกจับตามองว่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของปัญหาที่ฝังรากลึกมานานนับทศวรรษ — แต่เบื้องหลังโครงการนี้ มีทั้งความหวังและข้อกังขาที่สังคมยังเฝ้ารอการพิสูจน์ https://youtu.be/EfZ66T0bHIQ เสียงเลื่อยไม้ในยามเช้าไม่ใช่เพียงเสียงแห่งการทำกิน แต่คือเสียงสะท้อนของความไม่ลงรอย ที่คาราคาซังในสังคมไทยมาตลอดหลายชั่วคน — คำถามว่าใครกันแน่คือ “เจ้าของที่แท้จริงของผืนดิน” คทช. ถือกำเนิดขึ้นในปี 2557 จากคำสั่ง คสช. ก่อนถูกยกระดับเป็นกฎหมายเต็มรูปแบบใน พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยมี นายกรัฐมนตรีนั่งเก้าอี้ประธาน มุ่งจัดระเบียบการใช้ที่ดินทั่วประเทศให้มีเอกภาพ นี่คือภารกิจที่ท้าทายครั้งใหญ่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการแก้ไขปัญหาที่ทำกินในเขตป่า จัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ภายใต้เงื่อนไขเข้มงวด สิทธิที่ได้ ไม่ใช่โฉนด แต่เป็น “สิทธิชุมชน” ที่โอนหรือขายไม่ได้ อนุญาตเพียงการเพาะปลูกและอยู่อาศัย เพื่อยืนยันว่าผืนป่ายังคงอยู่ในความดูแลของรัฐ เอกสารสำคัญคือ หนังสืออนุญาตใช้ประโยชน์ หรือ “สัญญา คทช.” ที่บอกเพียงว่า...

“ผู้ใหญ่ใจดี” ขู่เขมรหนีตายไปหมดแล้ว

https://youtube.com/shorts/pCW4S3dFaZo พี่น้องครับ….เชื้อไฟสงครามย่อย ด้านชายแดนไทย-เขมร ระหว่าง "ผู้ใหญ่ใจดี" กับ "เด็กเกเร" ตามแรงหนุนและแรงต้านที่มีผู้นำอำนาจ พร้อมทำ "สงครามวัดใจ" ลองเชิงกันไป-มา คงต้องใช้ "ชาติเป็นกลาง" เข้ามาร่วมวง ประสานรอยร้าวที่อาจมีเชื้อไฟลามมากขึ้น จนยากต่อการดับลงหรือไม่? เวทีเจรจาที่มีชาติเป็นกลางกางแขนกั้นไว้ ดูเหมือนมีความ "ผิดหวัง" ให้เห็นชัดขึ้น!! เด็กเกเรในฉากละครนักรบเร่ร่อน ที่ฮุนเซนปล่อยให้แสดงอยู่ ตามพลังอำนาจที่จัดตั้งส่งมาป่วนเล่น ตามสายตานักรบเขมรแดง "ฮุนเซน" เขามองเห็นว่า ทหารไทย-รัฐบาลไทย คิดไม่ต่างกับฝ่ายเขา แนวชายแดนประตูธุรกิจ คือ…ประตูเงินประตูทอง ที่มี "ผู้ใหญ่ใจดี" ยืนถ่างขารับผิดชอบร่วมกัน ผลประโยชน์ธุรกิจสากลที่ทุกคนรู้ดี…มากมายมหาศาล เป็นหุ้นส่วนที่คอยจัดแถวให้ยืนด้วยกันอยู่ "ฮุนเซน" มองเห็นช่องทางรวยทางลัด ช่วงที่รัฐบาลไทยแย่งเป็นใหญ่-แย่งอำนาจ แบ่งพรรคแบ่งพวก แต่ก็มองด้านความมั่นคงสูงสุด…ยังอยู่ในมือทหารของพระราชาและประชาชน!! ยังเป็น "ผู้ใหญ่ใจดี" ที่ฝ่ายธุรกิจเถื่อนชายแดนเขมร-ไทย หวังว่าคงไม่ใจร้ายกับพวกเขา ที่เคยรวยด้วยกันมา "ฮุนเซน" เขารู้ไส้…ยังไงๆ มันจะต้องจบลงได้ ถ้ายังขืนส่งเด็กเกเร ชาวบ้านหิวเงิน ที่อ้างว่าเพื่อถือครองเป็นเจ้าของแผ่นดิน เขารู้อยู่แก่ใจว่า…ละครฉากนี้ต้องจบลงทันที...

Enjoy exclusive access to all of our content

Get an online subscription and you can unlock any article you come across.