วันศุกร์, ตุลาคม 10, 2025
หน้าแรกท้องถิ่นกสม. แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวปฏิบัติต่อผู้ถือบัตรผู้ลี้ภัยที่พำนักในประเทศไทย ให้สอดคล้องตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ และหลักสากล

Related Posts

กสม. แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวปฏิบัติต่อผู้ถือบัตรผู้ลี้ภัยที่พำนักในประเทศไทย ให้สอดคล้องตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ และหลักสากล

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง จังหวัดนนทบุรี (ผู้ถูกร้อง) ได้จับกุมกลุ่มบุคคลสัญชาติเวียดนามกลุ่มชาติพันธุ์มองตานญาด (Montagnards) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยหรือผู้ขอสถานะผู้ลี้ภัย ทั้งหมด 65 คน ในจำนวนดังกล่าวมีเด็ก 15 คน นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ถูกจับกุม 7 คน ที่อยู่ระหว่างได้รับอนุญาตให้ประกันตัวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ร้องเห็นว่ากระบวนการจับกุมและควบคุมตัวในกรณีนี้อาจมีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่าบุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การจับกุมและการคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งการค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิตและร่างกายจะกระทำมิได้ สอดคล้องกับพระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)

กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณาแยกเป็น 3 ประเด็น ประเด็นแรก ผู้ถูกร้องได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ถูกจับกุมในการจับกุมและควบคุมตัว ขัดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือไม่ อย่างไร เห็นว่า ในการจับกุมและควบคุมตัว เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง ผู้ถูกร้อง ได้แจ้งให้ผู้ถูกจับกุมทราบถึงสิทธิพึงได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ อีกทั้งยังจัดให้มีล่ามซึ่งเป็นคนเวียดนามที่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้เป็นอย่างดี และจัดหาทนายความเพื่อให้คำแนะนำด้านกฎหมาย รวมถึงมีการบันทึกภาพและเสียงพร้อมทั้งบันทึกข้อมูลผู้ถูกควบคุมตัวในแบบฟอร์ม ปท.1 ซึ่งไม่ปรากฏพฤติการณ์หรือหลักฐานใดที่แสดงถึงการใช้ความรุนแรง หรือข่มขู่ผู้ถูกจับกุมเพื่อให้รับสารภาพ นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องได้รายงานการควบคุมตัวและแนบคลิปวิดีโอให้นายอำเภอบางใหญ่และพนักงานอัยการทราบแล้ว ตามแบบฟอร์มใบรับแจ้งการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่รัฐ และระบบรับแจ้งการควบคุมตัวของสำนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี แม้การจับกุมและควบคุมตัวในกรณีตามคำร้องเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย รวมถึงเสรีภาพในการเดินทาง แต่เมื่อผู้ถูกร้องกระทำไปภายใต้กฎหมายที่ให้อำนาจ และมิได้ทำให้บุคคลที่ถูกจับกุมและควบคุมตัวได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพตามกฎหมาย ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่ 2 กรณีผู้ถูกร้องจับกุมและควบคุมตัวผู้ที่เคยถูกดำเนินคดี และอยู่ระหว่างได้รับการประกันตัวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เห็นว่า ผู้ถูกร้องจับกุมและควบคุมตัวบุคคลสัญชาติเวียดนามในขณะที่พบเห็นซึ่งหน้า โดยผู้ถูกจับกุมและควบคุมตัวไม่ได้แสดงหลักฐานให้เห็นว่าเป็นผู้ที่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อนแล้ว ต่อมาพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรบางใหญ่ ตรวจสอบแล้วพบว่า มีผู้ถูกจับกุม 7 คน เคยถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันมาแล้ว และอยู่ระหว่างได้รับการประกันตัวแล้วตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนจึงได้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นการดำเนินการซ้ำซ้อนและไม่อาจกระทำได้ตามกฎหมาย ตามหลักการสากลในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มุ่งคุ้มครองผู้กระทำความผิดไม่ให้ต้องได้รับการลงโทษซ้ำสองในความผิดเรื่องเดียวกัน (หลักการ Ne bis in idem) ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเด็กจากการเข้าจับกุมกลุ่มชาติพันธุ์มองตานญาด หรือไม่ เห็นว่า ผู้ถูกร้องได้ประสานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดนนทบุรีเพื่อคัดแยกผู้ถูกจับกุมที่มีเด็กติดตามมาด้วย จำนวน 15 คน ในจำนวนดังกล่าวมีเด็ก 3 คน ถูกส่งตัวไปยังบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนนทบุรีเพราะผู้ปกครองอยู่ในสถานภาพที่ไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูเด็กได้ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ได้ประเมินสุขภาพจิตและพัฒนาการของเด็กแล้ว พบว่ามีพัฒนาการที่ดีตามวัย ไม่มีภาวะซึมเศร้าหรือภาวะทางจิต สำหรับเด็กที่มีความจำเป็นต้องติดตามมารดาไปยังห้องกัก เนื่องจากยังอยู่ในวัยที่ต้องได้รับการดูแลจากมารดาอย่างใกล้ชิด ได้จัดให้เด็กเข้าพักในศูนย์แรกรับแม่และเด็กซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเด็กมากกว่าการแยกเด็กออกจากมารดา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ประเมินแล้วเห็นว่า ศูนย์ดังกล่าวมีความพร้อมในการดูแลเด็ก สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ดี กสม. มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า มีกลุ่มบุคคลสัญชาติเวียดนามจำนวนมากซึ่งถือบัตรประจำตัวผู้ลี้ภัยออกโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ที่พักอาศัยในประเทศไทยระหว่างรอเดินทางไปประเทศที่สาม แต่เข้าประเทศมาโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย แม้จะมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีวัตถุประสงค์แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถานภาพทางกฎหมายของคนต่างด้าวดังกล่าวในประเทศไทยที่ไม่สามารถหรือไม่สมัครใจเดินทางกลับไปยังประเทศอันเป็นภูมิลำเนาของตน แต่ในทางปฏิบัติการเข้าสู่กระบวนการดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของบุคคลเป็นสำคัญ และอาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาที่นานพอสมควรในการพิจารณา นอกจากนี้ แม้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ได้บัญญัติหลักการห้ามส่งกลับ (non – refoulement) ไว้แล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนต่อผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัยที่เข้ามาพำนักในประเทศไทย รวมถึงเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติงานยังขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของผู้ถือบัตร UNHCR อันอาจนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม และมีความสุ่มเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้

ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกรมการปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ร่วมกันให้ความรู้ และความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของผู้ถือบัตร UNHCR รวมถึงกำหนดแนวปฏิบัติและแนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อป้องกันปัญหาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อาจกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของผู้ถือบัตรดังกล่าว

ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ร่วมกันกำหนดแนวทางการปฏิบัติให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ พ.ศ. 2565 โดยเฉพาะมาตรา 13 และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำหนดแนวทางการปฏิบัติให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ สำนักงาน กสม. จะส่งรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนฉบับนี้ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ พ.ศ. 2565 ด้วย ทั้งนี้ ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนระหว่าง กสม. กับสำนักงานอัยการสูงสุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts