วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 16, 2025
หน้าแรกอาชญากรรมกสม. แนะ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า กำชับเจ้าหน้าที่บันทึกภาพและเสียงในการปฏิบัติภารกิจอย่างเคร่งครัด หลังมีกรณีร้องเรียนทรัพย์สินสูญหายระหว่างตรวจค้นจับกุม

Related Posts

กสม. แนะ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า กำชับเจ้าหน้าที่บันทึกภาพและเสียงในการปฏิบัติภารกิจอย่างเคร่งครัด หลังมีกรณีร้องเรียนทรัพย์สินสูญหายระหว่างตรวจค้นจับกุม

กสม. แนะ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า กำชับเจ้าหน้าที่บันทึกภาพและเสียงในการปฏิบัติภารกิจอย่างเคร่งครัด หลังมีกรณีร้องเรียนทรัพย์สินสูญหายระหว่างตรวจค้นจับกุม – ตรวจสอบกรณีตำรวจล่อซื้อประเวณีจากร้านคาราโอเกะ จ.ขอนแก่น แนะ ตร. – มหาดไทย กำชับเจ้าหน้าที่ล่อซื้อไม่กระทำการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเหยื่อ โดยเฉพาะเด็ก

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และ นางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 35/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

1.กสม. แนะ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า กำชับเจ้าหน้าที่บันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องจนเสร็จสิ้นภารกิจตรวจค้นและกักตัวบุคคลตามกฎหมาย หลังมีกรณีร้องเรียนทรัพย์สินสูญหาย

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 จากผู้ร้องรายหนึ่งซึ่งพักอาศัยอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 7 ตำบลตะลุโบะ อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ระบุว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ช่วงเย็น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี และเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมจังหวัดปัตตานี (ผู้ถูกร้องที่ 1 และ 2) เข้าปิดล้อมและตรวจค้นบ้านพักผู้ร้อง โดยเจ้าหน้าที่แต่งกายนอกเครื่องแบบพร้อมอาวุธปืนเดินมาที่ผู้ร้อง และสอบถามถึงสามีผู้ร้อง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ร้องและนำตัวไปซักถาม ณ บริเวณห่างจากบ้านพักประมาณ 200 เมตร ในเวลาต่อมาเกิดเหตุยิงปะทะและสามีผู้ร้องถูกวิสามัญฆาตกรรมเสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักรวมทั้งยึดทรัพย์สินผู้ร้องไปหลายรายการ ได้แก่ กระเป๋าสะพายข้างซึ่งมีเงินสดอยู่ประมาณ 10,000 บาท สร้อยประคำ และ เครื่องสำอาง โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะส่งคืนทรัพย์สินให้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่ผู้ร้องได้รับคืนเพียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ จึงขอให้ช่วยเหลือ

เบื้องต้น กสม. โดย สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคใต้ ได้ประสานความช่วยเหลือไปยังตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ได้ทราบว่าในการปิดล้อมและตรวจค้นครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ได้ส่งคืนโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้ว ส่วนสร้อยประคำยังไม่สามารถส่งคืน เนื่องจากรอคำพิพากษาของศาล แต่เงินสด 10,000 บาท และเครื่องสำอางนั้น ไม่พบว่าอยู่ในรายการตรวจเก็บวัตถุพยานของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่ากรณีตามคำร้องนี้ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักและยึดทรัพย์สินโดยไม่บันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจ อันอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของประชาชน จึงรับไว้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน

กสม. พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า ระเบียบกองทัพภาคที่ 4/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ว่าด้วย วิธีการปฏิบัติในการตรวจค้น และการกักตัวบุคคลที่ต้องสงสัย ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 กำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องบันทึกรายละเอียดแห่งการตรวจค้นและสิ่งของที่ได้จากการตรวจค้น และบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวขณะตรวจค้น ไว้เป็นหลักฐาน

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมจังหวัดปัตตานี ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้อาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 เข้าปิดล้อมบ้านพักของผู้ร้องเพื่อติดตามจับกุมสามีผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีความมั่นคงของศาลจังหวัดปัตตานี ในการปฏิบัติการได้มีการตรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ร้อง โดยผู้ร้องได้ลงลายมือชื่อในเอกสารยินยอมการเข้าถึงข้อมูลทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ และเจ้าหน้าที่ได้นำส่งคืนโทรศัพท์ให้กับผู้ร้องแล้ว

อย่างไรก็ดี หลังจากเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรม เจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการของผู้ถูกร้องที่ 2 ได้เข้าพื้นที่บ้านพักเพื่อตรวจสอบและควบคุมพื้นที่ จากนั้นได้ส่งมอบพื้นที่ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ผู้ถูกร้องที่ 1 และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดปัตตานี เข้าตรวจสอบบ้านพัก โดยผู้ถูกร้องทั้งสองไม่ได้บันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจ แม้ผู้ถูกร้องที่ 2 จะชี้แจงว่า ในกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานและการชันสูตรพลิกศพจะเป็นอำนาจและหน้าที่ของผู้ถูกร้องที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ในกรณีตามคำร้องนี้ ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการที่อาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 โดยสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงผู้ถูกร้องที่ 1 เพื่อเข้าปฏิบัติการร่วม กรณีนี้ย่อมอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งร่วมกันเข้าปฏิบัติการตั้งแต่ต้น

เมื่อการเข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบและควบคุมพื้นที่ของผู้ถูกร้องที่ 2 และการตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐานของผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่ได้บันทึกภาพและเสียงตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นภารกิจ และเมื่อมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ร้องที่สูญหายไปในขณะที่มีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ผู้ถูกร้องทั้งสองจึงไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดงได้ว่าทรัพย์สินของผู้ร้องสูญหายไปในช่วงเวลาใด ปฏิบัติการดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบของกองทัพในการตรวจค้น และการกักตัวบุคคลที่ต้องสงสัย อันกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของผู้ร้องและมีลักษณะเป็นการกระทบต่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้ร้อง ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้รับรองและคุ้มครองไว้ รวมทั้งไม่สอดคล้องตามหลักในการควบคุมตัวเพื่อความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 กำหนดไว้ ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองเข้าตรวจค้นบ้านพักและยึดทรัพย์สินโดยไม่บันทึกภาพและเสียงไว้อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ร้อง

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ให้ตรวจสอบการละเว้นการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสอง กรณีการบันทึกรายละเอียดแห่งการตรวจค้นและสิ่งของที่ได้จากการตรวจค้น และบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวขณะตรวจค้น เพื่อดำเนินการตามระเบียบกองทัพภาคที่ 4/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ว่าด้วย วิธีการปฏิบัติในการตรวจค้น และการกักตัวบุคคลที่ต้องสงสัย ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 และให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ กรณีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตรวจค้นและเป็นเหตุให้เกิดข้อร้องเรียนว่าทำให้ทรัพย์สินของบุคคลสูญหาย และหากพบว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กระทบต่อทรัพย์สินของบุคคลให้เยียวยาแก่ผู้เสียหายตามความเป็นจริง

นอกจากนี้ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เน้นย้ำ กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและให้ผู้ถูกร้องทั้งสองดำเนินการ ตามระเบียบกองทัพภาคที่ 4/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ว่าด้วย วิธีการปฏิบัติในการตรวจค้น และการกักตัวบุคคลที่ต้องสงสัยฯ ข้างต้น อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในเรื่องการบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องจนเสร็จสิ้นภารกิจ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts