อนาคต 50 ปีแห่งความก้าวหน้า จากรากฐานที่มั่นคงในอดีต เปิดรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ สร้างสรรค์มิตรภาพ อนาคตที่มั่งคั่ง เป็น “สะพานทอง” เชื่อมโลก
นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ อดีตรัฐมนตรีและสส.หลายสมัย ได้รับเชิญร่วมสัมมนาและกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “อดีต 50 ปีมั่นคงสู่อนาคต 50 ปีก้าวหน้า” ในวาระครึ่งศตวรรษมิตรภาพไทย-จีน เมื่อเร็วๆนี้ ณ โรงแรมแชงการิล่า กรุงปักกิ่ง โดยกล่าวถึงประวัติศาสตร์แห่งความเป็นมิตรกว่า 2 พันปี ก่อนเข้าสู่ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมา
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ตัวอย่างที่เริ่มแล้วคือ ขบวนรถไฟบรรทุกข้าวสารจากประเทศไทย ไปเขตอุตสาหกรรมฉงชิ่ง บนเส้นทางรถไฟไทย-ลาว-จีน เป็นขบวนแรกในปี 2563 นี่คือการเปิดประตูอีสาน (ISAN Gateway) ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจาก “landlocked ” เป็น “Landlink” แล้ว อีสานจะเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้า โดยเฉพาะ “สินค้าแปรรูปเกษตรและปศุสัตว์” ซึ่งเป็นจุดแข็งของพื้นที่ รวมถึงสินค้าอื่นๆและการท่องเที่ยว
ในอีก 50 ปีข้างหน้า ความท้าทายสำคัญคือการรักษาคุณค่าดั้งเดิมของวัฒนธรรมทั้งสองไว้ สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของทั้งสองชาติ ในศตวรรษที่ 21 จากรากฐานที่มั่นคงในอดีต พร้อมกับเปิดรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์มิตรภาพ อนาคตที่มั่งคั่งและยั่งยืนร่วมกัน เช่น ความร่วมมือในด้านการจัดการพลังงานและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ(Climate Change) ตอบโจทย์โลกเดือด จะเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ซึ่งเป็นผลดีต่อโลกโดยรวม
ขณะเดียวกัน มีความร่วมมือด้านอื่นๆที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์แห่งอนาคตของ 2 ประเทศ เช่น ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (Ai) สู่การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Center) ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ (AI Center) การวิจัยและพัฒนาควอนตัมคอมพิวติ้ง และระบบคลาวด์ขนาดใหญ่ เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์ที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ควรขยายความร่วมมือด้าน Telemedicine และ HealthTech ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจัดการโรคไม่ติดต่อ การใช้ AI ในการดูแลป้องกันและการรักษาเฉพาะบุคคล ตลอดจนการพัฒนาอุตสาหกรรมเวชศาสตร์อายุวัฒน์ การท่องเที่ยวสุขภาพ และการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร โดยผสมผสานภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย สมุนไพรไทยกับแพทย์แผนจีน
ประการสำคัญคือ การขับเคลื่อนการอัพเกรดอุตสาหกรรมสีเขียว ผ่านการวิจัยและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ร่วมกัน เช่น เทคโนโลยีหุ่นยนต์ ระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ อากาศยานไร้คนขับ เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และที่ลืมไม่ได้คือการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น แฟชั่น การออกแบบ และดิจิทัลคอนเทนต์
ที่สำคัญไม่แพ้กันคือความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งความร่วมมือด้าน FarmTech และ FoodTech จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตอาหารอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตร
