“…การกลับมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กำลังสั่นสะเทือนภูมิทัศน์การเมืองไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ที่เคยเป็นฐานเสียงหลัก ท่ามกลางกระแสวิเคราะห์ว่านี่อาจเป็น “แพลนบี” ของค่ายอนุรักษ์นิยม และการคัมแบ็กครั้งนี้จะสร้างความยากลำบากให้กับ “ภูมิใจไทย” ที่กำลังมาแรงได้มากน้อยเพียงใด…”
“สืบการเมือง” สนทนากับ “สาธิต วงศ์หนองเตย” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้านยุทธศาสตร์การเมือง เพื่อเจาะลึกเบื้องหลังการตัดสินใจครั้งสำคัญ และทิศทางของพรรคสีฟ้าในวันที่ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง
“เลือดสีฟ้า” สู่การคัมแบ็กในยามวิกฤต
คุณสาธิต เริ่มต้นด้วยการย้ำถึงจุดยืนของคุณอภิสิทธิ์ว่า “กรีดเลือดยังไงก็เป็นสีฟ้า” หลังเว้นวรรคทางการเมืองไปนานกว่า 6 ปี การกลับมาครั้งนี้เกิดขึ้นหลัง คุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ประกอบกับกระแสเรียกร้องในสังคม (เช่น บทวิเคราะห์ของ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ที่เสนอว่า “คืนพรรคประชาธิปัตย์ให้อภิสิทธิ์”) และเสียงสนับสนุนจากคนในพรรค
“คุณอภิสิทธิ์มีใจอยู่แล้ว ท่านก็ตัดสินใจจะกลับมา พร้อมกับที่คนในพรรคหลายคนก็โทรไปพูดคุยกับท่าน… แนวความคิดของคุณอภิสิทธิ์ถ้ากลับมารอบนี้ คือต้องเอาคนใหม่เข้ามาให้เยอะ บวกกับคนเดิมซึ่งมีอยู่ในพรรคอยู่แล้ว”
ทัพใหม่ “เศรษฐกิจนำ” ปฏิเสธประชานิยมระยะสั้น

โจทย์ใหญ่ที่ “อภิสิทธิ์” ประกาศชัดในวันรับตำแหน่ง คือ “เศรษฐกิจติดลบ สังคมเหลื่อมล้ำ ความยุติธรรมหดหาย” โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องมาก่อน
คุณสาธิต ชี้ว่า นโยบาย “คนละครึ่งพลัส” หรือประชานิยมที่ใช้เงินมหาศาลนั้น “ไม่ยั่งยืน” ตราบใดที่เศรษฐกิจไม่โตจริง “ป่วยการที่จะไปพูดถึงนโยบายซึ่งต้องใช้เงิน เพราะเราจะไม่มีเงินมาใช้”
ดังนั้น ทีมรองหัวหน้าพรรคชุดใหม่จึงถูกวางตัวเป็น “รองหัวหน้าพรรคภารกิจ” เพื่อสร้างเครื่องจักรเศรษฐกิจตัวใหม่ นำโดย:

ดร.การดี เลียวไพโรจน์
- ดร.การดี เลียวไพโรจน์ (เชี่ยวชาญด้านอนาคตศาสตร์และสินทรัพย์ดิจิทัล)
- คุณวีรพร ประภา (ผู้แทนการค้าไทยที่เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ)
- คุณกรณ์ จาติกวณิช (กลับมาดูแลนโยบายเศรษฐกิจ)
- คุณรัดเกล้า (เนเน่) (ลูกสาว ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่เข้ามาทำงานด้านสังคม)

ไม่ใช่ “แพลนบี” แต่คือ “ขั้วสีฟ้า”
ประเด็นร้อนเรื่องภาพ “อนุทิน” ทานข้าวกับ “อภิสิทธิ์” ก่อนรับตำแหน่ง จนเกิดข้อสังเกตว่าเป็น “แผนบี” ของขั้วอนุรักษ์นิยมหรือไม่ คุณสาธิตปฏิเสธชัดเจน
“มันไม่มีแพลนเอแพลนบีอะไรหรอกครับ… ประชาธิปัตย์ไม่มีอะไรแบบนั้น เราเองเราปฏิเสธการเมืองที่มีดีลลับสลับข้ามขั้ว” คุณสาธิตกล่าว โดยอ้างอิงถึงการจัดตั้งรัฐบาลปี 2566 ที่ทำให้อุดมการณ์ไร้ค่า และนำไปสู่การทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม (เช่น กรณีชั้น 14)
คุณสาธิต ย้ำว่า ประชาธิปัตย์กลับมาครั้งนี้เพื่อยืนเป็น “ขั้วหนึ่งสีฟ้า” ที่เป็นทางเลือกให้ประชาชน โดยชูจุดยืน “เสรีประชาธิปไตย” ที่เป็นต้นตำรับมาตั้งแต่ปี 2489 ซึ่งสะท้อนนโยบายต้านการผูกขาด (ที่ปัจจุบันอำนาจการเมืองและทุนใหญ่ใกล้ชิดกันเกินไป) และการกระจายอำนาจ ซึ่งประชาธิปัตย์เป็นผู้ริเริ่มมาตั้งแต่ยุค อบต., อบจ.
เมื่อเทียบกับขั้วอื่น คุณสาธิตวิเคราะห์ว่า:
- ค่ายสีแดง (เพื่อไทย): เสื่อมความนิยมลงด้วยปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน
- ค่ายสีส้ม (ก้าวไกล/ประชาชน): เป็นเสรีนิยมสุดขั้ว และขาดประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดิน
“ในขณะที่ประชาธิปัตย์ สามารถผสมได้ โดยเอาคนรุ่นใหม่เข้ามา บวกกับคนที่มีประสบการณ์… และได้รับการยอมรับว่ามีความสุจริต ไม่มีปัญหาเรื่องสีเทาหรือธุรกิจสีดำติดตัวมาด้วย”
สมรภูมิภาคใต้: จากยุค “เสาไฟฟ้า” สู่การทวงคืน
ไฮไลท์สำคัญคือสมรภูมิภาคใต้ คุณสาธิต ในฐานะอดีต สส. หลายสมัย เล่าย้อนถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต (ยุคคุณชวน หลีกภัย) ที่เคยได้ สส. สูงถึง 50 จาก 52-54 ที่นั่ง จนเกิดวาทกรรม (จากคู่แข่ง) ว่า “ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้”
แต่พรรคก็เสื่อมความนิยมลง ด้วยปัจจัย
- การเมืองเปลี่ยน: ปัจจัยเรื่อง “เงิน” และระบบอุปถัมภ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
- ปัญหาภายใน: การคัดเลือกผู้สมัครที่มีปัญหา (ส่งลูกหลาน) และ สส. ทิ้งพื้นที่
- คู่แข่งแบ่งแต้ม: ปี 62 พลังประชารัฐ (ลุงตู่) เข้ามาแชร์, ปี 66 ทั้งพลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ และภูมิใจไทย เข้ามายึดพื้นที่
- จุดตกต่ำสุด: การตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ทำให้คนใต้ “อกหัก โกรธ รับไม่ได้” จนคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ปี 66 เทไปให้พรรคก้าวไกล
แต่คุณสาธิตยืนยันว่า “กระแสเริ่มตีกลับ” หลังคุณเฉลิมชัยลาออก และคุณอภิสิทธิ์กลับมา ประกอบกับการได้ คุณจุรี รุ่งแก้ว (อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง) มาเป็นรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ยิ่งทำให้กระแสดีขึ้น
“ผมสังเกตจากในคอมเมนต์ จากโทรศัพท์ที่เข้ามา… โกรธพรรคลาออกไป จะสมัครกลับเข้ามา… บางคนไปอยู่พรรคการเมืองอื่นก็… จะลาออกจากพรรคนั้นยังไง ผมจะกลับมาสมัครประชาธิปัตย์”
อย่างไรก็ตาม คุณสาธิตยอมรับว่าภาคใต้ “เที่ยวหน้าการเมืองเข้มข้นแน่นอน” พรรคประชาชน (ก้าวไกลเดิม) ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์สูงสุด ขณะที่ สส. เขต แตกไปหลายพรรค (รวมไทยฯ, ภูมิใจไทย, พลังประชารัฐ) ยุทธศาสตร์ของ ปชป. คือ “สร้างคนใหม่เลย” เปิดแคมเปญให้คนรุ่นใหม่เดินเข้ามาสู้กับการเมืองสีเทาและเงิน เพื่อดึงคะแนนจากคนรุ่นใหม่ (อายุต่ำกว่า 40) ที่เคยเทไปให้ค่ายสีส้มกลับคืนมา
พร้อมแค่ไหน? หาก “ยุบสภาก่อนกำหนด”
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ คุณอนุทิน อาจยุบสภาก่อนกำหนดเดิม (31 มกราคม 2569) คุณสาธิตยอมรับว่า “เหนื่อยครับ ต้องเหนื่อยหนักกว่านี้”
“เมื่อวานคุณอภิสิทธิ์ก็บอกว่าโอกาสที่ยุบก่อนก็มีนะ”
คุณสาธิตชี้ว่า หากรัฐบาลยุบสภาก่อนจริง ก็จะโดนข้อหา “หนีอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ซึ่งจะเป็นภาระที่ต้องอธิบายกับสังคม ส่วนความพร้อมของพรรค คุณอภิสิทธิ์ได้สั่งการเร่งด่วน 3 เรื่อง คือ 1. นโยบาย 2. การคัดตัวผู้สมัคร และ 3. กระบวนการทางกฎหมาย
“ยิ่งกว่าวิ่งร้อยเมตรอีกนะงานเนี่ย” คุณสาธิตกล่าวทิ้งท้าย
#สืบจากข่าว รายงาน