“…ไม่ใช่แค่ “คลิปอังเคิล” ที่กำลังฆ่าเพื่อไทย! เบื้องหลังอาการ “เลือดไหลไม่หยุด” พ่ายซ่อม 2 สนามรวด และ สส. ทยอยทิ้งรัง… “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตคนในบ้านเก่า มองทะลุปัญหา ชี้ว่านั่นเป็นเพียง “ผลเสีย” ปลายเหตุ แต่ “จุดตาย” ที่แท้จริง หรือ “มะเร็งร้าย” ที่กัดกินพรรคจน “ระส่ำหนัก” มันหยั่งรากลึกและน่ากลัวกว่าที่คิด……”

ผ่าอาณาจักรเพื่อไทย “รวมศูนย์” คือจุดตาย
“เรื่องการบริหารเรื่องรวมศูนย์เนี่ย น่าจะเป็นหลักมากกว่า” เรืองไกร เริ่มต้นวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา เขาชี้ว่าจุดอ่อนของเพื่อไทยในปัจจุบันคือการบริหารที่รวมศูนย์อำนาจไว้ในมือของตระกูลชินวัตรเป็นหลัก
ส่วน “คลิปอื้อฉาว” ที่เกิดขึ้นนั้น เรืองไกร มองว่าเป็น “ผลเสีย” ที่ตามมา ไม่ใช่ “ผลพลอยได้” สะท้อนให้เห็นว่าการผลักดันผู้นำรุ่นใหม่อย่าง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมานั้น “ยังผ่านร้อนผ่านหนาวไม่มากพอ” จึงเกิดความผิดพลาดขึ้น
เขายอมรับว่าในอดีต “ตระกูลชินวัตร” อาจเคยเป็นจุดแข็ง แต่ปัจจุบันกลยุทธ์และการใช้บุคคล (เช่น คุณเศรษฐา) กลับกลายเป็นการ “ปิดตัวเอง” ประกอบกับการบริหารภายในที่ “ไม่เหมือนเดิม” ซึ่งเขาได้ยินเสียงบ่นเรื่องนี้มาตั้งแต่ 2 ปีก่อน ทำให้คนในพรรคเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ จนนำไปสู่ปรากฏการณ์ “เลือดไหล” ที่เห็นได้ชัด

สัญญาณล่มสลาย “ศักดิ์ดา” โมเดล
เรืองไกรชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวสำหรับเพื่อไทย โดยยกกรณี “ศักดิ์ดา คงเพชร” ที่ย้ายพรรคไปภูมิใจไทยและส่งลูกสาวลงเลือกตั้งซ่อมชนะขาดลอย
“ในอดีต ใครย้ายออกจากเพื่อไทยมักไม่ประสบความสำเร็จ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป”
เรืองไกรวิเคราะห์ว่า ชัยชนะนี้ไม่ใช่กระแสของภูมิใจไทย แต่เป็น “ฝีมือ” และ “ฐานเสียงส่วนตัว” ของคุณศักดิ์ดา ที่เตรียมการมานาน
“การที่ลูกสาวลงสมัครได้ แปลว่าต้องเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยมาเกิน 90 วันแล้ว” นี่คือหลักฐานที่ชี้ว่ามีการวางแผนย้ายพรรคมาล่วงหน้า สะท้อนว่า สส. เริ่มมองหาที่ใหม่ และฐานเสียงในพื้นที่ก็พร้อมจะ “ย้ายตามตัวบุคคล” ไม่ได้ยึดติดกับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป
“กระแสเพื่อไทยไม่ได้ค่อยๆ ถอย แต่ถอยในอัตราเร่ง” เรืองไกรย้ำ “ขนาดเชียงใหม่ ที่เป็นบ้านเกิดคุณทักษิณ ยังแพ้ให้พรรคส้ม (ก้าวไกล/ประชาชน)” เขาชี้ว่าเพื่อไทยวันนี้เหลือแต่ “คนกินบุญเก่า” ขาด “มันสมอง” และคนรุ่นใหม่ก็ “ไม่มีแสง” เมื่อเทียบมวยกับพรรคประชาชน

“อุ๊งอิ๊ง” ปิดฉากแคนดิเดตนายกฯ
ประเด็นที่น่าสนใจที่สุด คือการประเมินสถานการณ์หากมีการยุบสภา (ซึ่งเรืองไกรเชื่อว่าเกิดก่อน 31 มกราคม 2569 แน่นอน) เมื่อเทียบระหว่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่อาจหวนคืนพรรคประชาธิปัตย์ กับ “แพทองธาร ชินวัตร”
“คุณแพทองธาร ไม่สามารถเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้แล้ว” เรืองไกรฟันธง “โดยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ (กรณีคลิป) รัฐธรรมนูญเปลี่ยนฐานแล้ว… เป็นไม่ได้แล้ว”
แม้คุณแพทองธารจะยังเป็นหัวหน้าพรรคได้ แต่การเป็นแคนดิเดตนายกฯ นั้นจบลงแล้ว ทำให้เพื่อไทยต้องกลับไปหาตัวเลือกในตระกูลคนอื่น เช่น ลูกเขย (สามีคุณเอม) หรือ ลูกชายคุณสมชาย-คุณเยาวภา ส่วนชื่อ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” นั้น เรืองไกรชี้ว่า “เป็นไปไม่ได้” เพราะพรรคเพื่อไทยเข็ดกับการใช้ “คนนอก” อย่าง “สมัคร สุนทรเวช” มาแล้ว

วิเคราะห์เกมฝ่ายค้าน ถามทำไมไม่ใช้ “ไม้ตาย”
เรืองไกรยังตั้งข้อสังเกต “แปลกใจ” ต่อท่าทีของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้าน ที่มีข้อมูลโจมตีรัฐบาลมากมาย แต่กลับเลือกใช้เวทีสื่อ หรือการโพสต์ แทนที่จะใช้ “เครื่องมือตามรัฐธรรมนูญ”
เขาท้าว่าทำไมไม่ใช้ “มาตรา 82” (การเข้าชื่อ 1 ใน 10 ยื่นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง) เพื่อตรวจสอบคุณสมบัตินายกฯ หรือรัฐมนตรี ซึ่งการยื่นช่องทางนี้ “นายกฯ ชิงยุบสภาไม่ได้”
แต่ฝ่ายค้านกลับ “เตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจ” (มาตรา 151/152) ซึ่งเรืองไกรรู้ทันว่า “ถ้าคุณเข้าชื่อปุ๊บ… เขาก็ชิงยุบก่อน” เขาจึงตั้งคำถามว่าฝ่ายค้านกำลังเล่นเกมอะไร หรือมีการ “คุยอะไรเบื้องหลัง” หรือไม่

จับตา 2 คดีใหญ่: 144 “ดิจิทัลวอลเล็ต” และ 44 สส. ประชาชน
ในส่วนของคดีการเมืองใหญ่ เรืองไกรให้ทัศนะที่สวนกระแส:
- คดีมาตรา 144 (โยกงบ 35,000 ล้าน ทำดิจิทัลวอลเล็ต): ที่ 45 นักร้องดังไปยื่น ป.ป.ช. นั้น เรืองไกรมองว่า “ไปไม่ได้” เพราะศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งวางบรรทัดฐานในคดี “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” ว่า มาตรา 144 ใช้ได้เฉพาะกับ “ร่างกฎหมายที่ยังพิจารณาอยู่” (แบบงบปี 69) แต่งบ 35,000 ล้านนั้น มาจาก “งบปี 68 ที่เป็นกฎหมายบังคับใช้ไปแล้ว” ป.ป.ช. จึงไม่น่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญได้
- คดี 44 สส. พรรคประชาชน (แก้ ม.112): เรืองไกรเตือนให้ “จับตาคดีนี้ให้ดี” เขาระบุว่าที่เขาเงียบไป 2-3 เดือน เพราะติดตามเคสนี้อยู่ และการที่ล่าสุด ป.ป.ช. “ตีตก” ข้อโต้แย้งเรื่องการขัดแย้งของกรรมการ ป.ป.ช. ที่ 44 สส. ยื่นคัดค้าน “นั่นแสดงว่า… โอกาสที่จะชนะ (ของ สส.) ริบหรี่เหลือเกิน”
เรืองไกรทิ้งท้ายว่า สัญญาณนี้ชัดเจนว่า ป.ป.ช. “เตรียมสรุปแล้ว” และพรรคประชาชน “รู้แก่ใจตัวเองอยู่แล้ว” ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร