ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 จำนวน 12.06 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.5% ของ GDP
ขณะที่ GDP หรือ รายได้ทั้งหมดของประเทศไทยปี 2567 มีมูลค่ารวม 18.58 ล้านล้านบาท
เท่ากับว่า มูลค่าหนี้สาธารณะ 12.06 ล้านล้านบาท เกือบเท่ากับรายได้ต่อปีของประเทศคือ 18.58 ล้านล้านบาท
- แบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 10.91 ล้านล้านบาท
- หนี้รัฐวิสาหกิจ 1.03 ล้านล้านบาท
- หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) 1.58 แสนล้านบาท
- หนี้หน่วยงานของรัฐ 5.93 หมื่นล้านบาท
โดยกฎหมายกำหนดว่า รัฐบาลจะก่อหนี้ได้สูงสุดไม่เกิน 70% ของ GDP เท่ากับว่ารัฐบาลจะกู้หนี้ได้อีกเพียง 5.5% ของ GDP
นั่นทำให้การเลือกตั้งปี 2569 ถูกมองว่า ถ้าพรรคการเมืองใดใช้ระบบ “ประชานิยม” มาเป็นเครื่องมือหาเสียง ก็ไม่ต่างจากพาประเทศลงเหว
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการเลือกตั้งในปี 2569 คือการชี้ชะตาอนาคต “คนไทย” อย่างแท้จริง เพราะหนี้สาธารณะที่ถูกกู้มาเพื่อแจกจ่ายในรูปแบบต่างๆ กำลังกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ลูกใหญ่
นายนายธีระชัย กล่าวว่า การแจกเงินไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าเรามีเงินเก็บในคลัง เช่น มีเงินสะสม 3-4 ปี ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร ก็แจกคืนให้กับประชาชน แบบนี้เป็นเรื่องดี แต่หลักการทางเศรษฐศาสตร์ ถ้ารัฐบาลกู้เงินมาแจกให้ประชาชนใช้จ่ายแล้วหมดไป ในขณะที่หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ “อันตราย”
ที่ผ่านมา ทุกรัฐบาลยอมขาดทุนงบประมาณ ใช้นโยบาย ลด แลก แจก แถม ถึงเวลาปิดหีบงบประมาณไม่ลง ก็ใช้วิธีกู้ ทำให้หนี้สาธารณะมากขึ้นทุกปี
นายนายธีระชัย กล่าวอีกว่า การกู้หนี้สาธารณะ ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้านำไปลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างรายได้กลับมาในอนาคต เช่น สร้างถนน สะพาน ระบบโทรคมนาคม หรือลงทุนในเรื่องการศึกษา ซึ่งจะทำให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
แต่ถ้ากู้มาแจก ไม่ต่างจากครอบครัวที่ลูกไม่ทำงาน แต่พ่อใจดี รูดเครดิตการ์ด เอาเงินมาให้ใช้ จนมีหนี้อยู่ในระดับสูง ถ้าพรรคการเมืองเสนอนโยบายเดิม คนที่ได้ประโยชน์คือบริษัทใหญ่ที่ขายสินค้า แต่จะพาเศรษฐกิจและคนไทยลงเหว นี่เป็นจุดที่อยากแนะนำ คัดเลือกพรรคที่มีนโยบายนำพาประเทศข้ามเหว ขึ้นบันได ไปได้รอดอย่างแท้จริง




