การหารือทวิภาคีระหว่าง สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ช่างแตกต่างกับการพบกันระหว่าง นายกรัฐมนตรีของไทย กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานิบดีสหรัฐอเมริกา และร่วมลงนามความร่วมมือด้านแร่หายาก ในการประชุมผู้นำอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ราวฟ้ากับเหว
การลงนาม MOU ความร่วมมือด้านแร่หายากระหว่างไทยกับสหรัฐฯ สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวไทยทั้งประเทศ เพราะการลงนามดังกล่าว เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ไม่ต่างกับการถูกมัดมือชก จนเกิดกระแสก่นด่ารัฐบาลว่า “ขายชาติ”
ขณะที่การพบกับ ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ยืนยันว่า จีนยินดีผลักดันความร่วมมือกับไทยในทุกมิติ ทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการเชื่อมโยงระดับประชาชน จีนไม่คิดแทรกแซงการดำเนินนโยบายภายในของประเทศใดๆ พร้อมสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้ง
เหมือน “น้ำผึ้ง” กับ “ยาพิษ”
สุนทรพจน์ฉบับลายลักษณ์อักษรของสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจเอเปค เมื่อวันศุกร์ (31 ต.ค.) คือบทสะท้อนภาวะผู้นำของ “สีจิ้นผิง” ในการปกป้องระเบียบโลกยุคใหม่ การปฏิบัติตามลัทธิพหุภาคี ที่ต้องเลือกระหว่างความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน กับการใช้อำนาจครอบงำ
สีจิ้นผิงระบุว่า โลกอยู่ในจุดที่ต้องเลือกระหว่างความสามัคคีและความร่วมมือ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน หรือการถอยหลังสู่การใช้อำนาจครอบงำและกฎแห่งป่า อันหมายถึงผู้แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่จะอยู่รอด
สีจิ้นผิง ย้ำว่า การใช้อำนาจครอบงำ นำมาซึ่งความหายนะ การกระทำเพียงฝ่ายเดียว รังแต่จะนำสู่ความแตกแยกและถดถอย ประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า มนุษยชาติมีชะตากรรมร่วมกัน ลัทธิ “พหุภาคี” คือทางเลือกที่มิอาจหลีกเลี่ยง ในการรับมือกับความท้าทายระดับโลก ที่ต้องการความ “สามัคคี” และ “ธรรมาภิบาล” ไม่ใช่ “ครอบงำ”



