คำพูดเพียงประโยคเดียวของ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาของญี่ปุ่นว่า “ญี่ปุ่นอาจตอบโต้ด้วยกำลังทางทหารหากจีนโจมตีไต้หวัน” กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว บ่อนทำลายรากฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ญี่ปุ่น สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ประชาชนชาวจีน และจีนไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับไต้หวัน ย่อมไม่ใช่เรื่องของญี่ปุ่นแม้แต่น้อย ขณะที่ “หลักการจีนเดียว” ได้รับการขานรับจากนานาชาติ สมรภูมิสำหรับญี่ปุ่น จึงมีแต่คำว่า “แพ้”
“หลักการจีนเดียว” เป็นข้อตกลงของมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 ยืนยันและบังคับใช้หลักการจีนเดียวอย่างเคร่งครัด โดยชี้ให้เห็นชัดเจนว่า มีประเทศจีนเพียงประเทศเดียวในโลก รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นตัวแทนที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวของจีนทั้งหมด รวมถึงไต้หวัน ไม่มี “หนึ่งจีน หนึ่งไต้หวัน”
แต่คำพูดที่ผิดพลาดร้ายแรงของ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน ซึ่งเสนอแนะในที่ประชุมรัฐสภาของญี่ปุ่นว่า “ญี่ปุ่นอาจตอบโต้ด้วยกำลังทางทหารหากจีนโจมตีไต้หวัน” ได้บ่อนทำลายรากฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ญี่ปุ่น สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ประชาชนชาวจีน และจีนไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับไต้หวัน ย่อมไม่ใช่เรื่องของญี่ปุ่นแม้แต่น้อย
การกลับคืนสู่จีนของไต้หวันถือเป็นผลลัพธ์สำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นองค์ประกอบสำคัญของระเบียบโลกหลังสงคราม โดยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2514 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 26 ได้มีมติเห็นชอบข้อมติที่ 2758 ด้วยคะแนนเสียงข้างมากอย่างท่วมท้น ซึ่งได้แก้ไขปัญหาทางการเมือง กฎหมาย และกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด รวมถึงไต้หวันในสหประชาชาติได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากการรับรองข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 เอกสารทางการของสหประชาชาติมักอ้างถึงไต้หวันว่า “ไต้หวัน มณฑลของจีน” ความคิดเห็นทางกฎหมายที่ออกโดยสำนักงานกิจการกฎหมาย ของสำนักเลขาธิการสหประชาชาติ ยังเน้นย้ำว่า “สหประชาชาติเชื่อว่าไต้หวันในฐานะมณฑลของจีนไม่มีสถานะเป็นเอกราช” และ “ทางการไต้หวันไม่มีสถานะเป็นรัฐบาลในรูปแบบใดๆ” เป็นจุดยืนที่มั่นคงของสหประชาชาติ และมีการบันทึกไว้เป็นอย่างชัดเจน
จีนยืนกรานว่าการมีอยู่ของจีนเดียว เป็นสิ่งถาวรและไม่สามารถท้าทายได้ โดยเฉพาะในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ การกระทำของญี่ปุ่นยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาค ยั่วยุปลุกปั่นให้เกิดการปะทะคะคานทางทหารอย่างตั้งใจ แน่นอนว่าจีนจะไม่ยอมให้กองกำลังฝ่ายขวาจัดในญี่ปุ่น ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไม่เปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงจากภายนอกในภูมิภาคไต้หวัน และไม่ปล่อยให้ลัทธิทหารญี่ปุ่นฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง โดยจีนมีความมุ่งมั่นและความสามารถปกป้องอธิปไตยของชาติ และบูรณภาพแห่งดินแดนของตนเอง
เหมาหนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ญี่ปุ่นจะพบเจอกับความล้มเหลวในท้ายที่สุด หากต้องการเดินตามเส้นทางเก่าของลัทธิทหาร ละทิ้งคำมั่นสัญญาของการพัฒนาอย่างสันติ และบ่อนทำลายระเบียบระหว่างประเทศในยุคหลังสงคราม”
เหมายังแสดงความคิดเห็นต่อกรณีญี่ปุ่นวางแผนติดตั้งอาวุธโจมตีใกล้กับภูมิภาคไต้หวันของจีนว่า เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งยวด พร้อมเรียกร้องบรรดาประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมระหว่างประเทศยกระดับการเฝ้าระวัง
“การกระทำของญี่ปุ่น ยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาคและยั่วยุปลุกปั่นให้เกิดการปะทะคะคานทางทหารอย่างตั้งใจ แต่จีนจะไม่ยอมให้กองกำลังฝ่ายขวาจัดในญี่ปุ่นย้อนรอยประวัติศาสตร์ ด้วยความมุ่งมั่นและความสามารถปกป้องอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนของตนเอง” เหมา กล่าว
เหมา ยังกล่าวอีกว่า หลังจากชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 เอกสารทางกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น ปฏิญญาไคโร ปฏิญญาพอตสดัม และตราสารยอมจำนนของญี่ปุ่น ได้กำหนดข้อผูกพันของญี่ปุ่นในฐานะประเทศผู้แพ้สงครามไว้อย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงการปลดอาวุธอย่างสมบูรณ์และการห้ามทำอุตสาหกรรมที่อาจทำให้เกิดการติดอาวุธใหม่ การบ่อนทำลายระเบียบระหว่างประเทศในยุคหลังสงคราม รังแต่จะทำให้ญี่ปุ่นล้มเหลวทั้งด้านความเชื่อมั่นจากประชาคม และเผชิญกับความตกต่ำทางเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ผู้แทนถาวรของจีนประจำสหประชาชาติ กล่าวระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UNSC) ประเด็นการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงว่า ญี่ปุ่นไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกร้องเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง เนื่องจากกฎบัตรสหประชาชาติระบุว่า คณะมนตรีความมั่นคงมีหน้าที่รับผิดชอบหลักในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้เปิดฉากสร้างหายนะร้ายแรงต่อประชาชนในเอเชียและโลก จวบจนทุกวันนี้ญี่ปุ่นยังไม่ได้ถอดบทเรียนจากอาชญากรรมสงครามของตนอย่างถ่องแท้ บิดเบือน ปฏิเสธ หรือแม้กระทั่งยกย่องประวัติศาสตร์การรุกรานของตน จึงไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศได้ และไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
ขณะที่การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี 20 เมื่อวันที่ 20 พ.ย. หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ไม่ได้พบปะหารือกับผู้นำญี่ปุ่น เป็นการกระตุ้นเตือนฝ่ายญี่ปุ่นให้ดำเนินการอย่างระมัดระวัง หลังจากญี่ปุ่นกล่าวอ้างหลายครั้งเกี่ยวกับการเปิดเจรจากับจีน





