เหลือบไปเห็นข่าวสารความคืบหน้า “โครงการรถไฟไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะะภา) ที่บริษัทเอเซียเอราวัน จำกัด ของ “กลุ่มทุนซี.พี.”ที่ออกมายืนยันว่า บริษัทมีความพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการก่อสร้างได้ทันที ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะ “ไฟเขียว”การแก้ไขสัญญาสัมปทานที่คณะทำงานการรถไฟฯและบริษัทได้เจรจาจนได่ข้อยุติไปก่อนหน้าได้เหมื่อไหร่ก็พร้อมเปิดหวูดเดินหน้าโครงการทันที
ส่วนจะสามารถเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล เนื่องจากทางบริษัทฯมีความพร้อมในการดำเนินงานอยู่แล้ว ซึ่งทุกภาคส่วนควรพยายามทำให้โครงการนี้สามารถ เดินหน้าต่อไปได้เพื่อประเทศชาติ
(เครดิต: https://www.thansettakij.com/economy/megaproject/646797 )
หากนับเนื่องจากที่ “การรถไฟแห่งประเทศไทย”(รฟท.) ลงนามในสัญญาโครงการไสปีดเทรน 3 สนามบินกับบริษัทเอเซียเอราวันจำกัดของกลุ่มทุนซีพี.เมื่อ 24 ต.ค.2562 หรือเมื่อกว่า6 ปีเศษมาแล้ว โดยที่ยังไม่มีการตอกเสาเข็มเริ่มต้นก่อสร้างโครงการใดๆแม้แต่น้อย
และยังคงต้องไปฝากความคาดหวังว่า กลางปีหน้าหรือปลายปี 2569 รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะตัดสินใจเดินหน้าโครงการโดยกระเตงผลการเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทานเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้ความเห็นชอบหรือไม่
นั่นแปลว่า หากรัฐบาลชุดต่อไปตัดสินใจเดินหน้าโครงการนี้ก็เท่ากับประเทศต้องเสียเวลาไปกว่า 7 ปี นับแต่การลงนามในสัญญาจึงสามารถเริ่มต้นก่อสร้างได้ โดยไม่มีใครการันตีได้ว่าด้วยระยะเวลาที่ผ่านไปกว่า 7 ปีที่ต้นทุนก่อสร้าง วัสดุอุปกรณ์ ค่าแรง เทคโนโลยีและต้นทุนดำเนินการต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต “อย่างสิ้นเชิง” นั้น จะทำให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไปได้อย่างไร
ที่สำคัญไม่มีใครบอกได้ว่าการเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ “ตั้งแท่น” กันไว้ก่อนหน้า และอยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนของคณะทำงานร่วมรถไฟและบริษัทภายหลังสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตั้งข้อสังเกตุ “เชิงลบ” ต่อร่างแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ส่อจะทำให้ภาครัฐเสียประโยชน์กลับมาให้การรถไฟและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) พิจารณาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ควันหลงแก้สัมปทาน “คิงเพาเวอร์”
ล่าสุด หลังสำนักงาน ป.ป.ช.ได้จัดทำรายงานข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญาสัมปทานร้านค้าปลอดภาษี”ดิวตี้ฟรี” ระหว่างบริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด(มหาชน) หรือทอท.กับกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ในท่าอากาศยานในกำกับของทอท.ทั้ง 5 แห่ง และได้นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ไปล่าสุด เมื่อต้นเดือน ธ.ค.2568 ที่ผ่านมา
โดยรายงานดังกล่าวระบุถึงการแก้ไขสัญญาสัมปทานระหว่างทอท.กับกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ฯ ในช่วงปี 2563 ที่บริษัทอ้างว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ และไว้รัสโควิด-19 จึงร้องขอให้ทอท.ดำเนินมาตรการเยียวยาให้ ด้วยการแก้ไขปรับเปลี่ยนฐานการคำนวณผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐคู่สัญญา โดยยกเลิกฐานการคำนวณที่อิงวงเงินประกันรายได้ขั้นต่ำ Minimum Guaranttee พร้อมขยายสัญญาสัมปทานออกไปให้ถึง 2 ปีจนยังผลให้รัฐส่อจะสูญเสียรายได้ปีละกว่า 18,000 ล้านบาทหรือรวมกว่า 180,000 ล้านบาทตลอดอายุสัญญา10 ปีนั้น
รายงานและข้อเสนอแนะของสำนักงาน ป.ป.ช.ข้างต้น ไม่เพียงจะทำให้ ครม.มีมติมอบหมายให้กระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนะต่างๆ ไปพิจารณากรณีการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานระลอกใหม่ ระหว่าง ทอท.กับกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ที่บอร์ดทอท.เพิ่งจะมีมติอนุมัติแก้ไขกันไปเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2568 ที่ผ่านมา ว่ามีความเหมาะสม ทำให้รัฐต้องสูญเสียผลประโยชน์และเอื้อประโยชน์แก่เอกชนหรือไม่
ในข้อเสนอของ ป.ป.ช.ข้างต้นยังมีข้อเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) จัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการเชิงพาณิชย์ที่ไม่อยู่ภายใต้ พรบ.การร่วมลงทุน(พีพีพี) รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาศึกษาวิเคราะห์ถึง ข้อดี ข้อเสียของการกำกับดูแลกิจการโครงการ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 เพื่อออกแบบกลไก/เครื่องมือต่างๆ ในการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานโดยเฉพาะกิจการเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตหรือการเอื้อประโยชน์จากการดำเนินโครงการต่างๆ ระหว่างรัฐและเอกชนในอนาคต
ในส่วนของการบริหารจัดการโครงการหรือสัญญาของหน่วยงานรัฐกับเอกชนคู่สัญญานั้น ป.ป.ช.ยังมีข้อเสนอในกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการมีการพิจารณากำหนดนโยบาย มาตรการ หรือแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญา จะต้องพิจารณาภายใต้กรอบของกฎหมายและความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยต้องพิจารณาให้รอบด้านก่อนการดำเนินการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความคุ้มค่า ต้นทุน ผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษกิจและสังคม รวมทั้งต้องไม่ดำเนินการที่มีลักษณะเข้าข่ายในการเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่สัญญา
และในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญา อันอาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐควรได้รับ หรือก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงเจ้าสังกัด สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) หรือ ครม. ทราบด้วย โดยให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561
ควันหลงจากกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีของ ทอท.ข้างต้น จึงยังผลให้ไม่เพียงแต่เส้น่ทางการแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี ระหว่างทอท.และกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ที่ดำเนินการไปก่อนหน้าจะต้องถูกตรวจสอบอย่างถึงพริกถึงขิงแล้ว
ยังส่งผลให้การแก้ไขสัมปทานโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินที่อยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนของคณะทำงานร่วมรถไฟ อาจเผชิญทางตันยิ่งขึ้นไปอีก
ลำพังแค่รายงานความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดที่มีความเห็นต่อกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานไฮสปีดเทรนเขื่อม 3 สนามบิน ก็เป๋นหนามยอกอกที่ทำให้เส้นทางการแก้ไขสัญญาสัมปทานหืดจับแทบไปไม่ป็นอยู่แล้ว เมื่อมาเจอด่านที่ 2 อันเป็นควันหลงจากกรณีแก้ไขสัมปทานดิวตี้ฟรีเข้าไปอีก
จึงยิ่งทำให้เส้นทางการแก้ไขสัญญาสัมปททนไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินแทบจะถูก “ปิดตาย” เหลืออยู่แค่ว่า จะหาทางลงให้กับโครงการนี้โดยที่รัฐจะไม่ “เสียค่าโง่”ได้อย่างไรเท่านั้น



