(6 ก.พ.66) นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยที่ปฎิเสธเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีมาล่อเหยื่ออดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ให้ย้ายพรรค และจองตั๋วเครื่องบินนัดให้ไปพบนายทักษิณที่ประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์นี้ว่า ขอให้ไปถามนายทักษิณดูว่าเป็นความจริงหรือไม่ เพราะคนที่มาบอกเรื่องนี้เป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ยืนยันกับตนในงานพระราขเพลิงศพอาจารย์มารุต บุนนาคที่วัดมกุฏกษัตริย์ จึงเชื่อถือได้ ซึ่งไม่ใช่คำพูดของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่โกหกนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่เชื่อถือไม่ได้หรือคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่หลอกพี่น้องคนเสื้อแดงก็พิสูจน์แล้วว่าเชื่อถือไม่ได้เช่นกัน
นายวัชระ ระบุว่า “การที่นางสาวแพทองธารสรุปว่าไม่มีใครไปดีลกับอดีตนายกฯและยืนยันว่าอดีตนายกฯไม่เกี่ยว ทางที่ดีควรโทรศัพท์ถามบิดาของตนก่อนว่า ได้โทรศัพท์ไปหาอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จริงหรือไม่ และให้อดีตรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยถึง2 คนโทร.ไปเกลี้ยกล่อมจริงหรือไม่ หนึ่งในนั้นมีข่าวว่าได้เป็นรัฐมนตรีเพราะต้องบรรทุกกล้วย120 หวีไปส่งเจ๊แดงนางสาวเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ถึงจังหวัดเชียงใหม่จริงหรือไม่ แล้วปัจจุบันก็ทิ้งเจ้าของสวนกล้วยไปเสียแล้ว อุ๊งอิ๊งเป็นเพียงหุ่นเชิดทางการเมืองของพ่อแม่ การที่พ่อแม่ยุยงส่งเสริมลูกสาวที่กำลังท้องกำลังไส้ตระเวนตะลอนๆไปปราศรัยขึ้นรถลงเรือไปทั่วประเทศ ย่อมมีผลต่อเด็กที่อยู่ในครรภ์ ยิ่งเมื่อต้องขึ้นปราศรัย จะต้องเกร็งกล้ามเนื้อท้องอยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นห่วงเกรงว่าอาจจะกระทบกับการพัฒนาการของเด็กและอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ แล้วใครจะรับผิดชอบ ดังนั้น อุ๊งอิ๊งควรต้องฟูมฟัก ทะนุถนอมทั้งสุขภาพกายใจ อย่าเอาชีวิตทารกมาเสี่ยงทางการเมือง หากไม่เชื่อตน ให้ถามหมอสูตินารีหรือนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคดูก็ได้”
นายวัชระยังกล่าวถึง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทยที่หาว่าเป็นการปล่อยข่าวนั้น ตนไม่ใช่คนแบบนายณัฐวุฒิ หากคิดว่าพรรคเพื่อไทยเสียหาย นายทักษิณเสียหายก็ฟ้องศาลยุติธรรมได้ อย่ารอช้าให้รีบฟัองเพื่อพิสูจน์ความเป็นจริง
แต่เรื่องที่น่าสงสัยคือคดีนายณัฐวุฒิให้เงินจำนวน 180,000 บาทกับนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรองกับพวกนำกลุ่มคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียนที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2552 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา จนต้องหลบหนีไปต่างประเทศ แต่นายณัฐวุฒิในฐานะผู้ใช้หรือตัวการร่วมนั้น การพิจารณาคดีนายณัฐวุฒิไปถึงขั้นตอนใดแล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดหรือโฆษกศาลยุติธรรมควรจะต้องแถลงในเรื่องนึ้บ้างหรือไม่ เพราะเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชนและผู้นำประเทศต่างๆที่ต้องหนีม็อบอย่างกระเจิดกระเจิงเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกในขณะนั้น ทำให้ชื่อเสียงของประเทศชาติเสื่อมเสียพินาศย่อยยับเสียหายเป็นอย่างมาก