เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 ก.ค. ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม.ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมพานายเมทัส หรือเก่ง สวนศรี อายุ 41 ปี อดีตนักแสดง , ยูทูบเบอร์ พร้อมนายบอล และนายบอย ผู้เสียหายอีกสองคน เข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการปราบปราม หลังถูกถูก “จ่าไฝ” ตำรวจภาค 1 ลวงไปกักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกาย เคลียร์หนี้พนันให้รุ่นน้อง ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านบางกรวย จนต้องแกล้งสลบ ก่อนตำรวจ สภ.บางกรวย เข้ามาช่วย เหตุเกิกเมื่อ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ก่อนที่นายประเสริฐ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี หนึ่งในแก๊งทวงหนี้กับพวกอีก 2 คน ออกมารับว่าไปทำตามคำสั่งของนายจ้าง แต่ปฏิเสธเรื่องกักขังหน่วงเหนี่ยว อ้างถูกโยกโย้เบี้ยวจ่าย 7.5 แสนบาท เล่าอีกมุม เชื่อถูกวางแผนให้ตกเป็นข่าวดังหวังไม่ต้องจ่าย
นายเมธัส เล่าว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านถนนพระราม 5 จังหวัดนนทบุรี โดยวันดังกล่าวได้รับการติดต่อจากตำรวจนายหนึ่งชื่อ “จ่าไฝ” สังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ให้มาพบเพื่อช่วยเจรจาทวงหนี้ค่าพนันออนไลน์กว่า 4 ล้านบาท จากนายบอย ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่นายเมธัสรู้จัก
โดยได้มาพร้อมกับลูกน้องอีกคนชื่อนายบอล แต่ระหว่างนั้นตำรวจ และเจ้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์ ได้พาบุคคลอื่นรวมกว่า 12 คน มาปิดล้อมและข่มขู่ทำร้ายร่างกาย หากไม่นำเงินจากนายบอยมาให้ภายในวันดังกล่าว แต่นายเมธัส ได้โทรศัพท์ไปสอบถามกับนายบอยแล้ว ขอเลื่อนจ่ายเป็นวันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งพบว่าเป็นหนี้คงเหลือรวม 7 แสน 5 หมื่นบาท แต่ทางเจ้าหนี้ไม่ยินยอมต้องให้จ่ายทันที เมื่อปฏิเสธว่าไม่สามารถทำได้กลุ่มชายฉกรรจ์จึงได้เข้ามาทำร้ายร่างกาย จนได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้า
นายเมธัส ยืนยันว่า แม้ในอดีตจะเป็นคนเกเร แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนตัวเอง ทำอาชีพสุจริต และไม่ข้องเกี่ยวกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ เพียงแต่รู้จักกับทั้งสองฝ่ายจึงเสนอตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ โดยที่ไม่คาดว่าจะเกิดความรุนแรง พร้อมทั้งขอให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวให้ตรงกับความเป็นจริง หากพบว่ามีข้อความที่เป็นเท็จก็จะฟ้องดำเนินคดี
ขณะที่นายบอล ที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าวว่า หลังจากที่เจรจากันไม่ได้ ก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อีกชุดหนึ่งเข้ามารุมทำร้ายโดยเห็นว่ามีปืนสั้น 3 กระบอก และปืนลูกซอง 1 กระบอก มาข่มขู่ ก่อนจะถูกพานท้ายปืนตีที่ปลายคิ้วจนเป็นแผลต้องเย็บรวม 10 เข็ม ส่วนตัวเองยอมรับว่ามีปืนอยู่ในกระเป๋า แต่ไม่สามารถนำออกมาใช้ได้เพราะถูกกดตัวอยู่กับโต๊ะ และไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกัน
ส่วนนายบอย ที่เป็นคนเล่นพนันจนเป็นหนี้ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเคยเล่นพนันที่เว็บไซต์นี้มานานกว่า 1 เดือน ได้เสียครั้งละกว่า 1 แสนบาท โดยได้รับเครดิตจากเว็บไซต์ที่ทราบว่ารู้จักกับนายเมธัส เป็นเงิน 3 ล้านบาท แต่ได้ให้เล่นในวงเงิน 7 แสนบาท จนเป็นหนี้ ซึ่งตัวเองก็พึ่งเรียนจบและทำงานในด้านตัดต่อวิดีโอ
ขณะที่นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นการทวงหนี้จากเว็บไซต์ที่ใช้กำลัง และมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแล้ว แต่ตำรวจที่ถูกอ้างถึงไม่ถูกออกหมายจับ ส่วนกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุก็พบว่าไม่สามารถนำออกมาเป็นหลักฐานได้ และขอให้ตำรวจเร่งปราบปรามเว็บไซต์พนันออนไลน์
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียแจ้ง ก่อนจะรวบรวมเอกสารหลักฐานผบตรวจร่างกายที่ผู้บาดเจ็บนำมา เสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
จากการสืบสวนพบว่า มีการโอนสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้เสียหายออกไปจำนวน 20 ครั้ง โดยเส้นทางการเงินทั้งหมดไปจบที่บัญชีของนายพลาวัฒน์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นหัวหน้าขบวนการในการหลอกลวงครั้งนี้ และนายพลาวัฒน์ ยังมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายว่าตนทำธุรกิจกับต่างประเทศ สามารถติดต่ออดีตผู้นำฟิลิปปินส์ได้ และสร้างความเชื่อถือให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและร่วมลงทุนในธุรกิจ มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 20 ล้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุม นายพลาวัฒน์ อายุ 64 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในความผิดฐาน “ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตนและทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบโดยเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น และร่วมกันลักทรัพย์ และฟอกเงิน” อันเป็นความผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 7 , 9 ,12/1และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 , 5” บริเวณภายใน ซอยพหลโยธิน แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
เบื้องต้นผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ให้การว่าเงินที่เข้าบัญชีของตน เป็นเงินที่ผู้เสียหายร่วมลงทุนธุรกิจต่างประเทศกับตนด้วยความสมัครใจ โดยมิได้มีการแฮ็กข้อมูลหรือมีเจตนาหลอกลวง
เตือนภัย ระมัดระวังไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวต่อบุคคลอื่น ประกอบด้วย
1)หมายเลขข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เลขบัตรประชาชน, เลขหนังสือเดินทาง, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี
2)ข้อมูลพิกัดที่อยู่อาศัย เบอร์โทรศัพท์ อีเมล
3)ข้อมูลธนาคาร เช่น เลขบัญชี, รหัส ATM, เลขบัตรเครดิต
4)ข้อมูลทางชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ, ข้อมูลแสดงม่านตา
5)ข้อมูลอุปกรณ์ เช่น IP Address, Mac Address, Cookie ID
ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ภูมิสิษฐ์ ตั้งวิทย์เดชา ผกก.2 บก.สอท.1 บช.สอท. พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม