ตามที่ สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. ได้มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย รวมทั้งสกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทยนั้น
ล่าสุด วันที่ 6 ก.ค.66 ที่ห้องประชุมโรงแรมลองบีช โฮเทล พัทยา จ.ชลบุรี สตม.ได้จัดแถลงข่าวผลการปฏิบัติงาน โดยมี พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวต่อคณะสื่อมวลชนแขนงต่างๆ
โดยสามารถทำการการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้
1.รวบผู้ร้ายข้ามแดนมีหมายแดง หนีหมายจับคดีค้ายาเสพติด ก่อนบินหนีซุกเวียดนาม โดยทางสถานเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิส ประจำประเทศไทย ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ ขอให้ทางการไทยจับกุมตัวชั่วคราวนายโจนาธาน (นามสมมติ) อายุ 31 ปี สัญชาติสวิส เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อไปดำเนินคดีในความผิดฐานค้ายาเสพติดอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติด และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทของสมาพันธรัฐสวิส
โดยมีพฤติการณ์กระทำผิด กล่าวคือ ในช่วงปลายปี พ.ศ.2559 นายโจนาธาน ได้ลักลอบนำยาบ้ากว่า 2,000 เม็ด ที่ได้ติดต่อซื้อขายจากชาวแอฟริกาผิวสี ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และนำไปขายให้กับลูกค้าหลายรายในเมืองซูริค โดยสมาพันธรัฐสวิส ได้ออกหมายจับที่ B-18-2612 ลงวันที่ 28 ก.ย.61 ให้จับนายโจนาธาน ในความผิดฐานค้ายาเสพติดอย่างร้ายแรง
และองค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL Red Notice) ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอออกหมายจับชั่วคราวนายโจนาธาน และได้ส่งหมายจับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้สืบสวนจับกุม
จากนั้น บก.สส.สตม. ได้รับสั่งการให้สืบสวนติดตามจับกุมนายโจนาธาน กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สตม. พบว่า นายโจนาธาน ถือหนังสือเดินทางสาธารณรัฐบราซิล เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.ผ.90 และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด
จึงขออนุมัติ ผบก.สส.สตม. เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ นายโจนาธาน เนื่องจากเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ พฤติการณ์เข้าลักษณะเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522
จากนั้นจึงได้สืบสวนติดตามหาตัวนายโจนาธาน จนทราบว่านายโจนาธาน จะเดินทางจากท่าอากาศยานกรุงเทพไปยังประเทศเวียดนาม จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด่าน ตม.ทอ.กรุงเทพ บก.ตม.2 ร่วมกันกระจายกำลังสืบสวนหาตัวนายโจนาธาน บริเวณโถงผู้โดยสารขาออก ท่าอากาศยานกรุงเทพ
จนกระทั่งพบตัวนายโจนาธาน ขณะเข้าแถวรอการเช็คอิน จึงขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง นายโจนาธาน ได้นำหนังสือเดินทางสาธารณรัฐบราซิล และหนังสือเดินทางสมาพันธรัฐสวิส แสดงแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแสดงหมายจับของศาลอาญาพร้อมแจ้งข้อกล่าวหา และแจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้นายโจธาธานรับทราบ และทำบันทึกการจับกุมนำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
2.บก.สส.สตม.รวบผู้ต้องหาชาวไวกิ้งหนีหมายจับกบดานไทย โดย สตม.ได้รับประสานจาก สำนักงานประสานงานฝ่ายกิจการตำรวจกลุ่มประเทศนอร์ดิก ขอให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมตัวนายสเตฟาน (นามสมมติ) อายุ 45 ปี สัญชาติสวีเดน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลประเทศสวีเดนและหมายจับสหภาพยุโรปในข้อหากระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ และเป็นบุคคลตามประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) ซึ่งได้หลบหนีคดีจากประเทศสวีเดนและเดินทางเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทย
ทั้งนี้ ทางการสวีเดนได้เพิกถอนหนังสือเดินทางของนายสเตฟานแล้ว โดยมีพฤติการณ์กระทำผิด กล่าวคือ ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.60 ถึงวันที่ 5 ต.ค.64 นายสเตฟาน ได้ร่วมกับพวกกระทำการละเมิดสิทธิสัญญาณของบริษัทผู้เสียหายจำนวน 3 บริษัท
โดยบันทึกรายการโทรทัศน์ของบริษัทผู้เสียหายที่ได้ออกอากาศไปแล้ว ไปออกอากาศเผยแพร่ต่อสาธารณชนในช่องทางอื่น ๆ ยูทูป เฟสบุ๊ก ซ้ำอีกโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทผู้เสียหาย อันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้เสียหายในการออกอากาศทางโทรทัศน์ สร้างความเสียหายให้กับบริษัทผู้เสียหายจำนวนมาก
สตม. จึงได้สั่งการให้ บก.สส.สตม.นำข้อมูลของนายสเตฟานไปตรวจสอบในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่านายสเตฟานได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และการอนุญาตยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายสเตฟาน เนื่องจากทางการสวีเดนได้เพิกถอนหนังสือเดินทางและเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ
พฤติการณ์เข้าลักษณะเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (1) และ (7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และสั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามหัวตัวนายสเตฟาน จากการสืบสวนของ กก.1 บก.สส.สตม. ทราบว่า นายสเตฟาน พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงไปตรวจสอบและพบนายสเตฟาน จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้นายสเตฟาน ได้รับทราบและนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
3.บก.สส.สตม.รวบแก๊งหนุ่มแดนโสมแย่งอาชีพคนไทย โดย บก.สส.สตม. ได้จับชาวเกาหลี 5 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี เพื่อดำเนินคดี ประกอบด้วย
-นายคิม (นามสมมติ) อายุ 40 ปี เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 28 ก.พ.66 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท คนอยู่ชั่วคราว (NON-90) ครบกำหนดอนุญาตวันที่ 23 พ.ค.66 และได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรถึงวันที่ 23 พ.ค.67
-นายเบค (นามสมมติ) อายุ 28 ปี เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 พ.ค.66 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.ผ.90 ครบกำหนดอนุญาตวันที่ 30 ก.ค.66
-นายชอย (นามสมมติ) อายุ 32 ปี เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 24 พ.ค.66 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.ผ.90 ครบกำหนดอนุญาตวันที่ 21 ส.ค.66
-นายจุง (นามสมมติ) อายุ 25 ปี เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 12 พ.ค.66 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.ผ.90 ครบกำหนดอนุญาตวันที่ 9 ส.ค.66
-นายชอน (นามสมมติ) อายุ 39 ปี เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 1 พ.ค.66 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท คนอยู่ชั่วคราว (NON-90) ครบกำหนดอนุญาตวันที่ 29 ก.ค.66
โดยกล่าวหาผู้ถูกจับที่ 1 ว่า รับคนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน และกล่าวหาผู้ถูกจับที่ 2-5 ว่า เป็นคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน
พฤติการณ์กล่าวคือ บก.สส.สตม. ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน จ.ชลบุรี ว่ามีคนเกาหลีเข้ามาทำงานในบริษัททัวร์ บริเวณพูลวิลล่าแห่งหนึ่ง ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี ทำหน้าที่เป็นเสมียนรับจองทัวร์ให้กับชาวเกาหลี และจัดแพคเกจท่องเที่ยวแบบครบวงจรในประเทศไทย โดยจัดที่พักอาศัยและใช้บริการสถานประกอบการในเครือของชาวเกาหลีด้วยกัน ทำให้กระทบกับระบบธุรกิจการท่องเที่ยวของ จ.ชลบุรี
จากการสืบสวนพบว่ามีชาวเกาหลีทำงานอยู่ในบริษัทดังกล่าวตามที่ถูกร้องเรียนจริง จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลจังหวัดพัทยาเพื่อเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบชาวเกาหลีจำนวน 5 ราย ทำงานโดยผิดกฎหมายซึ่งมี นายคิม ทำหน้าที่ หัวหน้าควบคุมดูแลและจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน จำนวน 4 ราย คือ
นายเบค, นายชอย, นายจุง และนายชอน ซึ่งทั้ง 4 รายดังกล่าว ทำหน้าที่ ดูแลระบบ (admin) ในเว็ปไซต์การท่องเที่ยวของเกาหลีเพื่อชักชวนให้คนเกาหลีซื้อแพคเกจท่องเที่ยวแบบครบวงจรในลักษณะ ‘จ่ายเงินวอนครั้งเดียวจบ’ แล้วสามารถมาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีก
แพคเกจนั้นรวมถึง รถรับ-ส่งสนามบิน, ที่พัก, ร้านอาหาร, ร้านนวด ซึ่งเป็นสถานประกอบการในเครือของชาวเกาหลีด้วยกัน สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทย จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
4.ตม.จว.ชลบุรี สนธิกำลังร่วมกับ สืบสวน ตม.3 จับกุมหนุ่มจีนลักลอบอยู่ไทยนานกว่า 5 ปี โดย ตม.จว.ชลบุรี ได้ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.3 , สภ.เมืองพัทยา และตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกันจับกุม นายจาง (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติจีน ในความผิดฐาน อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ได้ที่บริเวณริมถนน ซอยนาเกลือ 18 หมู่ 5 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
พฤติการณ์กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ร่วมกันสืบสวนหาข่าวชาวต่างชาติที่มีพฤติการณ์ว่าจะกระทำความผิดต่อกฎหมายในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย จนสืบทราบว่า นายจาง ชอบทำตัวตีสนิทกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและกลุ่มนักธุรกิจชาวจีนตามแหล่งที่กลุ่มชาวจีนพบปะกัน
โดยเข้าไปพูดคุยเชิญชวนให้ลงทุนทำธุรกิจต่างๆในประเทศไทย จึงนำข้อมูลนายจางไปตรวจสอบในระบบสารสนเทศ ตม. พบว่า นายจางเดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่อวันที่ 26 พ.ค.2558 ได้รับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว 60 วัน (TR-60) และได้ขออยู่ต่อในราชอาณาจักรต่อเนื่องเรื่อยมา ครั้งสุดท้ายได้รับอนุญาตถึงวันที่ 29 ก.ค.2560 ปัจจุบันการอนุญาตสิ้นสุดลงแล้ว
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ติดตามตัวจนพบ นายจาง บริเวณริมถนน ซอยนาเกลือ 18 หมู่ 5 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) จำนวน 2,160 วัน ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการสอบถามนายจาง รับสารภาพว่า สาเหตุที่อยู่ในราชอาณาจักรจนการอนุญาตสิ้นสุดเนื่องจากตนมีคดีลักทรัพย์ที่ประเทศจีน เกรงว่าหากกลับไปจะได้รับการลงโทษตามกฎหมาย จึงหลบหนีอยู่ในประเทศไทยเรื่อยมา จนถูกจับกุมดำเนินคดีในที่สุด
และ 5.จับชาวต่างชาติที่เข้ามากระทำความผิดในประเทศไทยในรูปแบบพนันออนไลน์และปลอมตราประทับเข้า-ออก ผู้ต้องหา 17 รายพร้อมยึดของกลางเจ้าหน้าที่ สืบสวน กก 2 บก.สส สตม. ได้นำหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการ เข้าทำการตรวจค้นที่ย่าน ต.บางโฉลงอ.บางพลี จว.สมุทรปราการ
โดยจากการตรวจค้นพบกลุ่มพนักงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามมีทั้งชายและหญิง ซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นแอดมินของเว็บพนันออนไลน์ ที่มีนายทุนเป็นชาวจีนอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับยึดของกลางเป็นคอมพิวเตอร์จำนวน 12 เครื่อง นอกจากนั้นยังขยายผลจับกุมกลุ่มคนต่างด้าวในบ้านพักที่อยู่ติดกันอีกสองหลัง
ซึ่งจากการตรวจคันพบต่างด้าวทั้งชายหญิงสัญชาติเวียดนาม และพบของกลาง เป็นอุปกรณ์การทำหนังสือเดินทางปลอม และตรายางขาเข้า/ออกตม.ทอ.สุวรรณภูมิ และประเทศพม่าและกัมพูชา รวมไปถึงพบบุหรี่ต่างประเทศหนีภาษีจำนวนหนึ่ง
จึงควบคุมผู้ต้องหา ทั้งหมดซึ่งเป็นชาวเวียดนาม พร้อมกับของกลาง ทั้งคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การผลิตหนังสือเดินทางและตรายางปลอมพร้อมของกลางอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาสอบสวนและบันทึกจับกุมที่ สภ.บางพลี ก่อนจะแจ้งข้อหาต่อผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง คือบุคคลต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม 12 คน ข้อหา “ชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนัน (พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 ม.12)” บุคคลต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม เวียดนาม 4 คน
ข้อหา ร่วมกันมีไว้ ซึ่งดวงตราหรือรอยตราประทับของเจ้าพนักงาน (ตราขาเข้า/ออกตม.ทอ.สุวรรณภูมิ)และ ร่วมกันมีไว้ ซึ่งหนังสือเดินทางของผู้อื่นบุคคลต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม เวียดนาม 1 คน ข้อหา มีบุรี่ต่างประเทศไว้ในความครอบครองโดยไม่ผ่านขั้นตอนการศุลกากรโดยการบุกเข้าจับกุมในนี้ทราบว่ามีกลุ่มบุคคลต่างด้าวลั