รัฐสภา วันนี้ ( 29 พ.ย.) นายศักดินัย นุ่มหนู สส. พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการรับหนังสือจากนายไทกร พลสุวรรณ ในฐานะประชาชนเข้ายื่นร้องเรียน ขอให้ตรวจสอบการทำลายเนื้อสุกร ผิดกฎหมาย จำนวน 4,500 ตัน ของ กระทรวงการคลัง และกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตร โดยอ้างว่ามีพฤติกรรมสอบพิรุธน่าสงสัย ซึ่งร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีคำสั่งให้ทำลายหมูเถื่อน ที่อยู่ในท่าเรือแหลมฉบังจำนวน 4,500 ตัน โดยเปรียบเทียบหากเป็นชิ้นส่วนมนุษย์ก็จะต้องเป็นศพที่มีการฝังหรือเผา 100,000 ศพ นับเป็นจำนวนมหาศาล แต่ว่ามีการสั่งทำลายเป็นการลับ โดยมีการอ้างเหตุผลว่า มีการต่อต้านการฝังกลบหมูเถื่อนของกลาง
“สิ่งที่เกิดขึ้น การทำงานของกรมปศุสัตว์ และดีเอสไอไร้จิตสำนึก เอาหมูเถื่อนที่กรมปศุสัตว์บอกว่าติดโรคระบาดไปฝังที่อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ฝังเพียง 30 ตัน กลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่ว จนชาวบ้านประท้วง จะนำไปฝังที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี อีก 1,000,000 กิโล ชาวบ้านก็ไม่ให้ฝัง เพราะว่าไม่มีการทำประชาคมของชาวบ้านในพื้นที่ และเป็นการกระทำที่ผิดพระราชบัญญัติการรักษาและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผิดพระราชบัญญัติการสาธารณสุข ผิดกฏกระทรวงสาธารณะสุข ผิดพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ เพราะกรมปศุสัตว์แจ้งว่าเนื้อหมู ที่อยู่ในท่าเรือแหลมฉบังติดเชื้อโรคที่ระบาดได้ไกลถึง 259 กิโลเมตร” นายไทกร กล่าว
นายไทกร ยังอ้างอิงว่าที่มายื่นต่อกรรมาธิการเนื่องจากศึกษาประวัติผู้รับผิดชอบ กรณีหมูเถื่อน อาจมีความไม่โปร่งใส จึงเรียกร้องไปยังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งรู้อยู่แล้วว่ามีการนำหมูเถื่อนเข้ามาไปปี 2564 ต่อเนื่องปี 2565 จนถึงปี 2566 ในช่วงต้นปี จำนวน 60,000 ตัน ตั้งข้อสังเกตว่าช่วงนั้นใครรับตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร และอธิบดีกรมประมง อธิบดีกรมปศุสัตว์ ซึ่งร้อยละ 90 ของหมูเถื่อนเขียนสำแดงสินค้าว่าเป็นหัวปลาแซลมอน จึงตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบในตู้สินค้าแยกไม่ออกหรืออย่างไร ว่าเป็นเนื้อหมูหรือเนื้อปลาแซลมอน
และตั้งข้อสังเกตว่า ข้าราชการระดับ 8 จะกล้าเซ็นอนุมัติหัวปลาแซลมอล โดยผู้บริหารในกรมไม่ยอมเป็นไปได้หรือไม่ และการสั่งย้ายอธิบดีกรมดีเอสไอ ที่อ้างว่าทำงานล่าช้า แต่คนที่มีส่วนร่วมสมคบคิดให้หมูเถื่อน 60,000 ตันเข้ามาในประเทศ ยังนั่งข้างนายกรัฐมนตรี ในวันที่นายกฯ สั่งการก่อนเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่สหรัฐอเมริกา แต่ไปปกป้อง โดยชี้ว่านี่เป็นความไม่เป็นธรรมในการบริหารของนายกรัฐมนตรี
“จึงร้องต่อกรรมาธิการการเกษตรฯ ได้ไปตรวจสอบ ว่าหมูเถื่อนที่ฝังไปแล้ว และกำลังจะฝัง เชื่อได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้จะไม่นำหมูเถื่อนไปเวียนเทียนเข้าไปขายอีก พวกนี้ไม่ใช่ข้าราชการ พวกนี้คือโจรในเครื่องแบบ สุจริตจนไม่มีใครปกป้องโจร มีแต่โจรเท่านั้นที่ปกป้องโจร จึงฝากท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ถ้าจะกวาดล้าง ต้องล้างทั้งหมด ทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการนำเข้ามา และคนที่ทำงานล่าช้าไม่ใช่ย้ายเฉพาะดีเอสไอ แล้วคนอื่นลอยหน้าลอยตา นี่คือการทำงานที่มีประโยชน์แอบแฝงอยู่ข้างหลัง” นายไทกร กล่าว
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการสั่งย้ายอธิบดีดีเอสไอ ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ เนื่องจากย้ายหลังจากที่มีการไปตรวจจับห้างของเจ้าสัวเพียงวันเดียว พร้อมกับเรียกร้อง นายกรัฐมนตรี จะต้องทำความจริงให้ปรากฏ ก่อนจะทิ้งท้ายว่าขอให้รัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ เป็นรัฐบาลของประชาชน แต่พฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน เป็นลูกสมุนเจ้าสัว
ส่วนนายศักดินัย นุ่มหนู ประธานกรรมาธิการการเกษตรฯ เปิดเผยว่ากรรมาธิการมีมติเชิญดีเอสไอ และสมาคมผู้ค้าสุกร เข้ามาให้ข้อมูลต่อกรรมาธิการในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ และติดตามเรื่องกระบวนการทำลายซากหมูเถื่อน และสืบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่รู้เห็นเป็นใจนำเข้าหมูเถื่อนโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย แล้วจะไปตามเรื่องการยกระดับควบคุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมป้องกันการนำเข้าหมูเถื่อน แล้วยังตั้งข้อสังเกตที่สงสัยถึงการสั่งย้ายอธิบดีดีเอสไอด้วย