วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
หน้าแรกต่างประเทศจีนไทย คุย “วีแชท-หวาอี้” เจาะตลาด 1.4 พันล้านคน

Related Posts

ไทย คุย “วีแชท-หวาอี้” เจาะตลาด 1.4 พันล้านคน

ผู้แทนการค้าไทย เปิดภารกิจขับเคลื่อนการค้า-ลงทุนไทยรับปี 67 คุยผู้พัฒนา WeChat-หวาอี้ ดึงเกษตรกร-SME รุกขยายตลาดจีนเพิ่ม โดยเฉพาะผลไม้-เครื่องสำอางแบรนด์ไทย หวังเปิดตลาดให้เกษตรกรและเอสเอ็มอีไทยเข้าถึงประชากรทุกครัวเรือน 1,400 ล้านคน

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย (TTR) เปิดเผยว่า เป้าหมายของผู้แทนการค้าไทย เป็นหนึ่งในทีมไทยแลนด์ที่จะร่วมกันดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และร่วมผลักดันการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยปี 2567 เศรษฐกิจจะฟื้นตัวโดยเฉพาะภาคส่งออกที่เดือน ต.ค. 66 เป็นบวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และคาดว่าปลายปีที่เหลือจะเป็นบวกต่อเนื่อง โดยมีจีนเป็นตลาดสำคัญที่สร้างเม็ดเงินจากการส่งออกสินค้าเกษตร และสินค้าจากอุตสาหกรรมการเกษตร ทั้ง ผลไม้ ผลไม้แช่แข็ง ผลไม้สด กลุ่มเกษตรแปรรูปยางพารา รวมถึงเครื่องสำอาง (Cosmetic) ที่เป็นแบรนด์ไทย พบว่ากำลังได้รับความนิยมจากตลาดจีนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีโอกาสขยายตลาดจีนอยู่อีกมาก เมื่อเร็วๆ นี้จึงได้หารือกับทางผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม WeChat จากจีน รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ ในการพัฒนาเป็นแอ็กเคานท์สำหรับประเทศไทย เพื่อให้เกษตรกรและวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ของไทยเข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น

“จีนมีระบบการสื่อสารผ่านแอปพลิเคชันเฉพาะตัว นั่นคือ WeChat ที่ใช้สั่งซื้อสินค้า จ่ายค่าน้ำค่าไฟ แม้กระทั่งกู้เงิน เขาอยู่ตรงนี้หมด เขาไม่ได้ใช้ Facebook ไม่ใช้ Google เราจึงต้องมองช่องทางที่ให้เข้าถึงลูกค้าเขาจริงๆ จึงเชิญทางผู้พัฒนา WeChat มาหารือว่า ถ้าเราจะเข้าถึง B2B2C (Business to Business to Customer) หรือผู้บริโภค 1,400 ล้านคนในจีน เราจึงมองหนทางทำเป็นแอ็กเคานท์ของไทย โดยกระทรวงพาณิชย์หรือหน่วยงานใดที่จะรวบรวมผู้ประกอบการเข้ามาแล้วโปรโมต ซึ่งขณะนี้หลายประเทศได้ใช้วิธีการดังกล่าว เพื่อส่งสินค้าเข้าถึงกลุ่มตลาดจีน ทั้งญี่ปุ่น รัสเซีย เป็นต้น” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือในการเปิดตลาดและส่งสินค้าเกษตรไทย ยังมีช่องทางขยายตัวเพิ่มขึ้นในตลาดใหม่ๆ ซึ่งที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการหารือกับบริษัท หวาอี้ กรุ๊ป ประเทศไทย เป็นรัฐวิสาหกิจของจีน เพื่อร่วมมือกับการยางแห่งประเทศไทย นำผลผลิตยางพาราไปสู่การแปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพาราของไทยเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทดังกล่าวได้มีการตั้งโรงงานรถยนต์ในไทย ภายใต้ยี่ห้อ Double Coin ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 มีการใช้วัตถุดิบยางพาราของไทยถึง 150,000 ตันต่อปี และมีแผนขยายโรงงานเพิ่มขึ้นอีก 5 โรงงาน โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อส่งออกยางรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ที่สุด หากบรรลุข้อตกลงทั้งสองฝ่าย เชื่อว่าจะทำให้ความต้องการผลผลิตยางพารา ทั้งน้ำยาง ยางแผ่น แผ่นยางรมควัน ฯลฯ เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำได้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts